เวลาเราอ่านประวัติทั้งหลายแล้วมักไม่ค่อยเห็นใครเขียนเชื่อมโยงเรื่องทั่วโลกกับในไทยให้เห็นภาพเป็น timeline เพราะมักเขียนเจาะเป็นเรื่องๆ ผมว่าเวลาอ่านแล้วไม่ค่อเห็นความเชื่อมโยง อ่างเรื่องนึง ไปอ่านอีกเรื่องก็ลืมเรื่องเก่าไปละ ตอนนี้อยากรวมเป็นหน้าเดียว ทีเดียว เป็นประวัติย่ิอๆ ถ้าจะหารายละเอียดค่อยไปหาอ่านต่างหาก แต่ถ้าเห็นภาพรวมก่อน ส่วนตัวว่าดีกว่านะ เผื่อจะเห็นจุดเชื่อมโยงอะไร
เดิมทีว่าเป็นประวัติการเงิน update เรื่อยๆ ก็กลายเป็นสงคราม เศรษฐกิจ หรือ พวก conspiracy ไปซะ ไหนๆ ก็หลุดจากที่ตั้งเป้าแล้วเลยเอาประวัติไทยที่เกี่ยวการเงินเข้ามายำด้วยเลย ไล่ตามเวลานะครับ
มีอะไรผิด ตอบกลับมาได้เลย
bloggang ไม่ให้ลง script ซ่อน div แล้ว นึกว่าจะซ่อนอะไรที่ไม่จำเป็นอยากอ่านค่อยกด เลยทำไม่ได้เลย รกหน่อย
ผมจะเข้ามา edit เป็นระยะๆ ถ้าเจออะไรเพิ่ม (แล้วขยันพอที่จะทำ)
เริ่มกันเลยแต่ขอเปิดหัวข้อที่ไม่อิงเวลาก่อนเรื่องนึง...
Gold Standard
- ค่าเงินเมื่อก่อนมี Silver standard และ Gold standard ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน หมายความว่าเงินทุกบาท ทุกปอนด์หรือดอลล่า หรืออื่นๆ จะถูก fix ไว้กับน้ำหนักทอง เช่น 1 ออนซ์ทองเป็น 3.5 ดอลล่า ทำให้ไม่มีเงินเฟ้อ หรือมีก็น้อยมาก
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินจะใช้ตามน้ำหนักของเหรียญวัสดุเดียวกัน เช่น เงินแมกซิโก 3 ดอลล่า น้ำหนักเท่าเงินไทย 5 บาท ก็ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามนั้น เทียบกับปอนด์เคยอยู่ที่ 1 บาทต่อ 1 ปอนด์อังกฤษเชียวนะ
- (คาดว่า) ธนบัตรได้ถูกเริ่มใช้ต่อมา โดยเก็บเงินและทองเป็นทุนสำรอง และธนบัตรทุกใบสามารถขึ้นทองคำหรือเงินได้ที่ธนาคาร ไม่นานธนบัตรอาจถูกพิมพ์เกินเงินสำรอง (เพราะพอฝรั่งเข้ามา ก็เอา concept fractional reserve มาใช้) เงินจึงเริ่มเฟ้อ ค่าเงินเริ่มผันผวนตามการค้า ขาดดุล เกินดุล
- ในช่วงปี 2414 หรือ 1871 อยู่ที่ 8 บาทต่อ 1 ปอนด์
- ไทยเราเคยใช้ silver มาก่อน แต่ตอนหลังเทคโนโลยีทำเหมือง ขุดเจอเยอะขึ้น โลหะเงินเลยเฟ้อ ค่าเงินก็เลยเฟ้อตาม หลังจากนั้นค่าเงินลดลงมาที่ 17 - 21 บาทต่อ 1 ปอนด์และผูกเป็นอัตราคงที่ไว้และเปลี่ยนมาเป็น gold standard พรบ มาตราทองคำ 2451 หรือ 1908 ที่ 1 บาท ต่อทองคำบริสุทธิ์ 55.8 เซนติกรัม และ 13 บาทต่อ 1 ปอนด์
- รุ่น Gold Standard นี้ คนคุม Supply ของเศรษฐกิจคือช่างทอง ถ้ามีทองมากคนก็ใช้กันมาก มีน้อยเงินฝืด
ระบบธนาคาร
- หลังครูเสดจบลง อัศวินเทมพลาว่างงาน กลับยุโรปมาอยู่ในโบสถ์ มีคนบริจาคเยอะ
- พวกเทมพลา ได้จัดทำระบบฝากเงินขึ้น เพราะพกเงินไปไหนมาไหนลำบาก หนักก็หนัก กลัวโดนจี้ปล้น ซึ่งก็แค่รับฝากและถอนเงินธรรมดา คิดค่าธรรมเนียมนิดหน่อย ยังไม่มีดอกเบี้ย ต่อมาได้พัฒนาเป็นระบบธนาคาร
- จากสถิติเรื่องเงินๆ ทองๆ ของธนาคาร พบว่าคนมักจะมาเบิกครั้งละไม่เกิน 10-20% ของที่ฝากไว้ เลยหาทางทำกำไรเงินที่เหลือด้วยการทำกระดาษออกมาให้ยืม กินค่าธรรมเนียมไป
- ณ ตอนนี้ คนที่คุม Supply ของเเงินเป็นนายธนาคารแทน ซึ่งเทมพลาคือรุ่นแรก
- มีคนยืมไปทำสงคราม(ฝรั่งเศส) หลังจากนั้นโดนหักหลังไม่มีคืน เลยกะเบี้ยวหนี้โดยการกล่าวหาว่าพวกนี้นอกรีต และโดนสอยร่วงหมดในวันศุกร์ 13 แต่ก็เหลือบางคนอยู่... แต่บางที่ก็ว่าพวกนี้อยู่ในโบสถ์ทั้งหลายไปค้นเจอคัมภีร์ลับอะไรไม่รู้เลยโดนเก็บ และเป็นที่มาของวิทยาการสมัยใหม่หลังจากนี้ทั้งไฟฟ้า นิวเคลียร์ ฯลฯ
- แต่เขาเริ่มมีดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ.. (คงหลังจากนั้น แบบว่าแค้น เปลี่ยนอาชีพเป็นนายธนาคารแล้วกลับมาขูดรีดให้หมดตัว)
...
- ตลาดการเงินก็พัฒนามาเรื่อย มีถือห้งถือหุ้น มีบอนด์อะไรกันละ (ถ้ามีข้อมูลจะมาแตกหัวข้ออีกที)
- ธนาคารได้กลายเป็นผู้เล่นหลัก ทั้งที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย อยากให้เศษฐกิจโตก็ปล่อยกู้ ดึงเงินออกทีบริษัทก็ล้มกันไป เป็นผู้กุมชะตาบริษัททั้งหลาย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก
- 1608 ตลาดหลักทรัพย์อัมสเตอร์ดัม (Bourse of Amsterdam) ซึ่งถือเป็นตลาดหลักทรัพย์ยุคใหม่แห่งแรก ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์
America!
- อาณานิคมสหรัฐพิมพ์เงินใช้เองเรียกว่า colonial script ตามความต้องการทางการค้าจึงไม่มีเงินเฟ้อ
Bank of the United States
- ก่อตั้งเมื่อ 1791 โดย Alexander Hamilton และหมดอายุ ปี 1811
- ยกเลิกพิมพ์เงินเอง แต่ต้องออกพันธบัตร และต้องเสียดอกเบี้ย มีความพยายามต้องการต่ออายุแบงค์ แต่แพ้คะแนนเลยต้องปิดไป
- 1812 Nathan Mayor Rothschild (NMR) หนุนการเงิน (สั่ง) ให้อังกฤษทำสงครามกับสหรัฐ เพื่อให้เป็นหนี้จากสงครามจนต้องมีธนาคารกลางที่เขาจะเป็นเจ้าของให้ได้
Rothschild family
- ต้นกำเนิดจากยิว (Ashkenazi Jew) ชาวเยอรมัน Mayer Amschel Rothschild (รุ่นก่อตั้ง Illuminati) ส่งลูกๆ ไปทำธุรกิจใน (และเพื่อครอบครอง?) 5 ประเทศ หนึ่งในนั้นคือ NMR ซึ่งไปตั้งแบงค์ในอังกฤษตั้งแต่อายุ 21 (1798) ละหลังจากที่ Sir Francis Baring และ Abraham Goldsmid ตายปี 1810 เขาก็เป็นธนาคารใหญ่สุดในอังกฤษ
- ตั้งแต่รุ่นพ่อเขา พวกนี้ก็เริ่มจับทางได้ว่าปล่อยกู้ใครก็ไม่กำไรดีเท่าปล่อยกู้รัฐบาล และราชวงค์เพราะยังไงก็ไม่เบี้ยว มีภาษีค้ำประกัน
- ตระกูล Rothschild จะไม่ยอมให้สายเลือดแปดเปื้อน โดยผู้ชายต้องแต่งงานกับในเครือญาติตัวเอง (เดา หรือต้องเป็นยิวเหมือนก็พอมั้ง ไม่งั้นลูกชายเป็นเอ๋อกันหมดพอดี) ส่วนลูกสาวจะแต่งกับใครก็ได้ เพราะเขาถือว่าเด็กที่ออกมาจากท้องยิว คือยิว แต่คนที่จะคุมกิจการได้ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น
- ตระกูล elite อื่นๆ ที่จะแต่งด้วยก็เช่น Rockefeller, Warburg, Morgan ฯลฯ แต่คนนามสกุลเดียวกันกับพวกนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นพวกเขาทั้งหมดหรอกนะ
- มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดตระกูลนี้ขณะนี้ ไม่มีใครทราบได้ แต่น่าจะเดิน 6 ล้าน ล้าน ดอลล่าไปแล้ว (เกินครึ่งหนึ่งของ GDP ทั้งโลก) และสาเหตุที่พวกเขาไม่ติดอันดับใน Forbes มีเวบบอร์ดหนึ่งกล่าวไว้ว่า คนกลุ่มนี้เป็นพวก Ooga Boga (เจอหนังชื่อนี้ด้วย ไม่รู้เกี่ยวรึเปล่า เหมือนจะเป็นการ์ตูน) พวก Ooga Boga ชอบคอยคุมชะตาชีวิตคนอื่นอยู่ในเงามืด พวกนี้อยู่บนยอดพีระมิด ไม่ลงมาแข่งอะไรกับใครหรอก
Battle of Waterloo
- หลังจากเบี้ยวเงินฝากหนีตายของ William IX of Hesse-Hanau จากนโปเลียนปี 1806 เขาได้เอาเงินมาลงทุนทองและ Finance สงครามทั้งฝั่ง Wellington & Napoleon ในสงคราม Waterloo ปี 1814-5
- 1815 เนื่องจากมีสาขาธนาคารไปทั่ว NMR ก็ได้วางสายข่าวที่เร็วที่สุดไว้ เลยทราบว่าอังกฤษชนะก่อนชาวบ้าน เขาระดมพรรคพวกขายพันธบัตรทิ้งทุกราคา จึงเกิดข่าวลือว่าแพ้สงครามทุกคนขายบอนด์ทิ้งหมด ภายในวันเดียวนั้นเองหลังจากราคาลงฟลอร์ ก็ได้สั่งลูกน้องซื้อกลับทั้งหมดในวันเดียวกันจนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุดของรัฐบาลอังกฤษ และคุม Bank of England (หลายที่ว่าเขาเป็นเจ้าของ) และกุมชะตากรรมประเทศไว้ (100 ปีถัดมาหลาน/เหลนของเขาโดนกล่าวหาย้อนหลังว่าใช้ Insider trading และโดนปรับ)
- ข่าวจริงมาในวันถัดไป ทำเอาราคากลับขึ้นมาสูงกว่าเดิม เลยได้กำไรไปกว่า 20 เท่า นี่คงเรียกว่าการขายหมูครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
- และจากการแพ้สงคราม ฝรั่งเศสต้องมีหนี้มากมาย ต้องออกพันธบัตร ตระกูลนี้ก็ช่วยซื้อบอนด์ เห็นบอกว่าตอน 1817 (แหงละ)
- ทรัพย์สินตอนที่ NMR เดินทางมาอังกฤษมี 20000 ปอนด์ ผ่านมา 16 ปี มีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 50 ล้านปอนด์
- เขาพูดว่า “I care not what puppet is placed upon the throne of England to rule the Empire on which the sun never sets. The man who controls Britain’s money supply controls the British Empire, and I control the British money supply.”
World Government
- ยิว Rothschild พยายามที่จะตั้ง "รัฐบาลโลก" จากการที่หลายๆ ประเทศที่ติดหนี้เขาอยู่ แต่ทว่า Tsar Alexander I แห่งรัสเซียไม่ได้เป็นหนี้กับเขาด้วยเพราะไม่มีธนาคารกลางให้เป็นหนี้ และไม่ยอมรับ NMR เลยสาบานว่าจะทำลายล้างราชวงศ์นี้ให้สิ้นซาก ซึ่งเขาก็ทำได้ในอีก 102 ปีถัดมา ...ส่วนรัฐบาลโลก คิดว่าปัจุบันนี้ก็มีแล้วนะ
Second Bank of the United States
- ก่อตั้งครั้งที่สองในสหรัฐ หลังจากสงครามกับอังกฤษในปี 1816 มีอายุถึง 1836 ด้วยสินทรัพย์เริ่มต้น 35 ล้านดอลล่า รัฐสหรัฐมีส่วนเป็นเจ้าของ 7 ล้านดอลล่า (เลยมีสิทธ์โหวตละมั้ง) และที่เหลือไม่ทราบสัดส่วน แต่มี Rothschild แน่นอน ทั้งถือตรงและ nominee
- 1833 ปธน. Andrew Jackson หาเสียงด้วยแคมเปญหาเสียง "Jackson And No Bank!" ได้ถอนเงินฝากของรัฐทั้งหมดจากธนาคารกลางนี้ไปฝากธนาคารท้องถิ่น ทำเอา Rothschild ต้องกังวล และทำให้เขาโดนลอบสังหารสองครั้ง แต่ก็รอดมาได้สองครา
- 1836 สภาผ่านให้ต่ออายุแล้ว แต่เขาได้วีโต้ล้มเสียงโหวตให้ต่ออายุธนาคารสำเร็จ แผนธนาคารกลางเลยต้องล้มไปอีกครั้ง (คหสต ผมเอง ถ้าไม่ล้มซะตอนนี้และใช้ไปเรื่อยๆ ก็จะไม่มี Fed และอาจไม่แย่เท่าทุกวันนี้)
- ก่อนสิ้นใจในปี 1845 Andrew Jackson พูดถึง Greatest achievement คือ “I Killed The Bank”
Rothschild family#2
- 5 Nov 1818 ตระกูล Rothschild ดัมพ์ตลาดฝรั่งเศส (จากบอนด์ที่ช่วยซื้อช่วงแพ้สงคราม) และเข้าควบคุม money supply เบ็ดเสร็จได้ด้วยโมเดลเดิม
- ภายในปี 1823 พวกนี้ takeover finance operation ของโบสถ์คริสต์ทั้งหมดทั่วโลก หลังส่ง Kalmann Mayer Rothschild ไปจัดการในปี 1821 เพื่อทำธุรกิจในวาติกัน
- 1835 ได้สัมปทานเหมืองปรอท (Quicksilver) ในเสปน เป็นสารที่ใช้ Refine ทองและโลหะเงิน ทำให้ตระกูลนี้ผูกขาดตลาดทองทันที
- 1836 ปีเดียวกับที่ธนาคารกลางสหรัฐโดนล้ม NMR ก็ตายลง (ไม่รู้แก่ตายหรือตรอมใจตาย) และ James Mayer Rothschild (JMR) น้องชายขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทน มีหลายชื่อเช่น Jacob (ในฝรั่งเศส) และต่อมาก็เป็น Baron James de Rothschild
- 1837 Rothschild ได้ส่ง August Belmont ไปเพื่อกอบกู้ Central Bank ที่อเมริกา
- 1846 JMR ชนะประมูลสร้างรถไฟข้ามประเทศในยุโรปจากปารีสไปวาเลนเซีย และเชื่อมอีกสายไปออสเตรียโดย Solomon Mayer Rothschild น้องชายเขาเอง
แนวคิดการแบ่งฝ่าย
- 1848 Karl Marx ซึ่งก็เป็น Ashkenazi Jew ตีพิมพ์เรื่องคอมมูนิสครั้งแรก ในเวลาเดียวกัน Karl Ritter ที่แฟรงเฟริตก็ออกทฤษฎีแย้งเป็น Nietzscheanism ต่อมาพัฒนาเป็นนาซี
- ทั้งคู่ถูกสนับสนุนโดย Rothschild มันเป็นต้นกำเนิดของแนวคิดที่ต่อต้านกันเพื่อให้คนบนโลกแตกแยกและรบกันจนเกิดสงครามโลกได้ และที่สำคัญคือต้องการทำลายศาสนาและแนวคิดทางการเมืองเดิมทิ้งหมด
Greenback 1
- 1861 ช่วงสงครามกลางเมือง เมกาเงินขาดมือ จะไปกู้ธนาคารใหญ่ แต่โดนธนาคารที่ Rothschild เป็นเจ้าของเรียกดอกเบี้ยไป 24-36% บอกไม่ไหว พิมพ์เงินเองดีกว่า ไม่เสียดอก จำนวน 449,338,902 ดอลล่าเข้าสู่ระบบ หลังจากนั้นเลยโดนเก็บ ข้อหาไม่ยอมอยู่ในโอวาทนายธนาคาร
- 1863 Tsar of Russia, Alexander II ก็มีปัญหากับ Rothschild ที่ไม่ยอมตั้งธนาคารกลางได้ให้ความช่วยเหลือลินคอร์นในการรบกับฝ่ายใต้
- Jonh D Rockefeller หนึ่งใน Bloodline ของ Rothshild ซึ่งแทรกซึมในอเมริกาก็ครอบครองธุรกิจน้ำมันจากการเทคโอเวอร์ทุกราย (เงินอยู่ในมือ - ปลาใหญ่กินปลาเล็ก)
- 1864 August Belmont ลงสมัคร ปธน ใน Democrat แข่งกับลินคอร์นแต่ก็แพ้
- 1865 ลินคอร์นโดนลอบสังหาร
Rothschild family#3
- 1865 Jacob Schiff อายุ 18 สายเลือด Rothschild หลังได้รับการเทรนสั้นๆ ใน Rothschild London Bank ก็ถูกส่งไปอเมริกา เพื่อ 1.คุมระบบการเงิน เพื่อก่อตั้ง Central bank 2. หาพรรคพวกเข้า Illuminati และโปรโมตให้มีตำแหน่งในสภา 3. สร้างความแตกแยกโดยใช้สีผิว 4. ทำลายศาสนาในอเมริกัน (คหสต มันมีอบรมแป๊บเดียวแล้วไปทำแบบนั้นได้นี่ต้องเทพมาก ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนหนุนก็เถอะ)
- 1868 JMR เสียชีวิต ไม่ได้บอกว่าใครขึ้นมานำตระกูลนี้ต่อ
- 1875 Jacob Schiff แต่งกับ Teresa ลูก Solomon Loeb เข้าครอบครองธนาคาร Kuhn, Loeb & Co. และให้ finance กับทั้ง Rockefeller ธุรกิจน้ำมัน Edward R. Harriman ธุรกิจรถราง และ Andrew Carnegie ธุรกิจเหล็กด้วยเงินของ Rothschild สรุปว่าตอนนั้นมี 3 ธนาคารใหญ่ในอเมริกาเท่านั้น อีก 2 คือ JP Morgan ใน Wall Street และ Drexels and the Biddies of Philadelphia
- 1880 Rothschild เริ่มฆ่าล้างชาวยิวในรัสเซีย โปแลนด์ บัลเกเรีย โรมาเนีย กว่า 2000 คน ทำให้ยิวหนีไปกว่า 2 ล้านคน หลักๆ ไปนิวยอร์ก ชิคาโก ฟิลาเดเฟีย ลอสแองเจลลิส เพื่อให้เป็นประชากรส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงที่เลือก democrat หลังจากพวกเขาล้างสมอง (ตรงนี้แปลมาแบบงงๆ ว่าทำไมแน่ใจนักว่าจะได้ผลลัพธ์แบบนี้แน่ๆ)
- 1887 Gustave and Alphonse ดูแลกิจการต่อจาก JMR ที่ฝรั่งเศส
- 1891 มีคนงาน (สหภาพแรงงาน?) ในอังกฤษออกมาพูดกับสื่อประมาณว่า พวกที่ชอบขูดรีดเป็นต้นเหตุของความลำบากยากเข็ญในยุโรป ขณะที่พวกเขาร่ำรวยมหาศาลจากการมีสงครามเกิดขึ้นทั้งที่กับผู้ที่ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่ว่าที่ไหนที่มีความไม่สงบหรือข่าวลือของสงคราม คุณแน่ใจได้เลยว่ามันมาจากคนของ Rothschild ที่อยู่ละแวกนั้น
- จากข้างบน Rothschild จึงซื้อสื่อรอยเตอร์เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก เพราะกลัวคนออกมาต่อต้าน
- 1895 Edmond James de Rothschild ลูกของ JMR ได้แวะปาเลสไตน์และตั้งกองทุนเพื่อดำเนินการให้เป็นอาณานิคมของยิว และกะจะเป็นเจ้าของประเทศนี้เองด้วย
- Side story: ร.5 เสด็จประพาสยุโรป
- 1901 Rothschild banking house in Frankfurt ปิดลง เพราะไม่มีลูกชายมาคุมกิจการ
- 1907 เวลาผ่านมา 32 ปี Jacob Schiff เริ่มยิง speech ต่อหอการค้าของ NY ให้มี Central Bank
Siam in Gold Standard
- 1888 ธนาคารของอังกฤษ (HSBC) และ (ปีไหนไม่รู้) ฝรั่งเศส (บังก์เดอ แล็ง โดชิน) ได้เข้ามาเปิดในกรุงเทพสำหรับทำ Settlement
- 1904 ธนาคารแห่งแรกคือบุคคลัภย์ (Book club) ตามเดิมคือยิมหนังสือ แต่ทำจริงเป็นรับฝากเงิน ต่อมา 1906 ก็ตั้งสยามกัมมาจล หรือ SCB ขณะนี้นั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ธนาคารฝรั่งไม่ค่อยสนใจลูกค้าคนไทย-จีนเท่าไรเลยเป็นที่นิยมกัน
- 1908 ไทยเริ่มเข้าสู่มาตราทองคำ ตาม พรบ มาตราทองคำ หลังจากก่อนหน้านั้นใช้ Silver standard และ โลหะเงินผลิตได้มากขึ้น อาจเกินความต้องการ เงินจึงเฟ้อ และพอทำท่าไม่ดีจึงเปลี่ยนมายึดทองคำแทน
- ช่วงนั้นไทยมีดุลการค้าเกินดุลอยู่ตลอด เพราะเป็นกสิกรรม ส่งออกสินค้าเกษตร ไม่วัตถุนิยม คนที่จะนำเข้ามีแต่ชนชั้นเจ้านายในวัง อำมาตย์ต่างๆ จึงไม่มีความจำเป็นลดค่าเงิน (แต่ทำไมไม่เพิ่มค่าเงิน?)
- อัตราและเปลี่ยนถูก Fix ที่ 13 บาทต่อ 1 ปอนด์
Federal Reserve
- 1913 Woodrow Wilson เป็น ปธน ในทำเนียบขาวมีทนายชาว Ashkenazi Jew เข้าพบและ Blackmail ว่ามีชู้? (affair) ขณะที่เป็นอาจารย์ในมหาลัย Princeton เพื่อจะฟ้องเรียก 40000 ดอลล่า แต่เขาไม่มีตัง พวกนี้เลยเสนอทางเลือกให้ว่าจะจ่ายให้ แต่ต้องให้ตำแหน่งในศาลฎีกากับ Untermyer .. เขารับปาก ต่อมาจุดอ่อนเรื่องนี้ก็ทำให้ต้องทำตามคำสั่งเรื่องอื่นๆ ต่อไป รวมถึงยอมรับธนาคารกลาง
- ปีเดียวกันนั้นเอง Jacob Schiff ตั้งกลุ่มต่อต้านการหมิ่นประมาณ เป็นเครื่องมือต่อกรกับพวกที่ต่อต้าน Rothschild ว่าเป็นพวกต่อต้านยิว
- Federal reserve act ถูกก่อตั้งสำเร็จในช่วงคริสมาส 1913 ที่คนในสภาไม่ค่อยอยู่กันเลยโหวตชนะไป - งานนี้รัฐไม่มีส่วนถือหุ้นอีกแล้ว เป็น Privately owned 100% ไม่จำเป็นต้องบอกว่าใครถือหุ้นเท่าไร
- แต่ก็มีคนสืบกันมาว่า Top 8 Major share holders; Rothschild Banks of London and Berlin; Lazard Brothers Banks of Paris; Israel Moses Seif Banks of Italy; Warburg Bank of Hamburg and Amsterdam; Lehman Brothers of New York; Kuhn, Loeb Bank of New York; Chase Manhatten; and Goldman, Sachs of New York
WW I
- 1914 - 1918
- หลังจากตั้ง Fed ปุ๊บ ก็มีสงครามโลกขึ้น Bank ของ Rothschild ของประเทศไหนก็ Finance ประเทศนั้น แถมมีข่าวในมือทุกประเทศ ทั้ง Reuters, Wolff, Havas สื่อโหมให้คนบ้าสงคราม แต่ไม่มีสื่อไหนพูดถึงตระกูลเขาอีกแล้ว เพราะกุมสื่อไว้หมด
- 1916 เยอรมันกำลังได้เปรียบเพราะได้ finance เยอะสุดจากรอทไชด์และเพราะเขาต้องการล้ม Tsar ของรัสเซียและบังคับให้รัสเซียอยู่ฝ่ายอังกฤษ อยู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เยอรมันยื่นข้อเสนออังกฤษสงบศึกโดยไม่ต้องเสียค่าแพ้สงคราม ทำให้รอทไชด์หัวเสียมาก เพราะสงครามต้องยืดเยื้อกว่านี้ เขาจะได้ปล่อยกู้ได้มากขึ้น พวกนี้จึงเปิดไพ่อีกใบขึ้นมาโดยติดต่อทางอังกฤษว่าจะส่งยิวในอเมริกา (Zionist) มาช่วยถ้าเขายอมยกปาเลสไตน์ให้ Rothschild เลยตามนั้นมีทำสัญญากันเรียบร้อย (Google “Balfour Declaration” ) เขาไปปล่อยข่าวในอเมริกาว่าเยอรมันชั่วร้าย ฆ่าแพทย์สนาม ตัดแขนทารก บลาๆ รวบรวมคนไปช่วยอังกฤษได้ในปี 1917 ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนอเมริกาเชียร์เยอรมันกัน ..เอากะเขาสิ
- Rothschild สั่งประหาร Tsar Nicholas II และครอบครัวทั้งหมด ในรัสเซียตามคำประกาศของ NMR ในปี 1815 สำเร็จ แม้ว่าเขาจะสละราชสมบัติไปแล้วก็ตาม เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างว่าห้ามใครขวางทางเขา
- เดิมทีสาเหตุหลัก WW I คือเพื่อล้มราชวงศ์ Tsar ตามที่ NMR ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 1815 และเพื่อวางระบบคอมมิวนิส และโจมตีศาสนาและยื่นคริสเตียนให้
- 1919 เยอรมันเห็นพวกยิวเรียกร้องปาเลสไตน์ก็เลยเริ่มรู้ถึงว่าใครอยู่เบื้องหลัง เดิมทีเยอรมันเป็นประเทศที่ต้อนรับพวกยิวดีที่สุดในหลายประเทศ ไม่เหยียด ไม่อะไรมาก
- ทางรัสเซียตอนนั้นก็ยังไม่ยอมตั้ง Central Bank ทำรอทไชลด์โมโหอีกรอบส่งชาวยิวไปป่วนประเทศ ฆ่าคนที่ไม่ใช่ยิวไปสิบล้านกว่าคน Takeover หลายๆ ที่ และคุมพวก Elite ในนั้น
Hyperinflation in Weimar (ชื่อเยอรมันหลังแพ้สงคราม)
- 1919 หลังเยอรมันแพ้สงคราม ในประเทศที่ต้องเสียค่าแพ้สงคราม ไม่มีการผลิต ลงทุน ไม่มีงาน ขณะนั้นอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 4.2 ได้อ่อนลงไปที่ 8.9 มาร์กต่อดอลลา และไหลลงมาเรื่อยจนนิ่งๆ ที่ 60 มาร์กต่อดอลลาในครึ่งปีแรกของ 1921
- 1921 ต่อมา "London Ultimatum" อังกฤษเรียกค่าเสียหาย 2 พันล้าน goldmark (เช่นทองหรือเหรียญที่ทำจากโลหะ ไม่ใช่ธนบัตร เนื่องจากโลหะมีค่า) และริบ 26% ของการส่งออก ทำเอาค่าเงินหล่นไปที่ 330 มาร์กต่อดอลล่า และ 800 มาร์กต่อดอลลาในช่วงปลายปีถัดมา
- 1923 ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม เข้ามายึดอุตสาหกรรมใน Ruhr เพื่อเรียกค่าชดเชยเสียหาเป็นสินค้าเพราะมาร์กไร้ค่าไปแล้ว คนงานก็ออกมาสไตรคกัน รัฐก็เลยทำการพิมพ์แบงค์เพื่อมาจ่ายหนี้ โดยไม่มีอะไรหนุนไปเรื่อยๆ ไม่นานนักเงินจึงอ่อนลงไปถึง 4,210,500,000,000 มาร์กต่อดอลล่า
- 1923 ปีเดิมได้ออกเงินสกุล Rentenmark ใหม่ โดยหนุนด้วยพันธบัตรอสังหา (Mortgage bond index) อ้างอิงราคาทองคำ โดยตัดศูนย์ออกจากมาร์กเดิม 12 หลัก ค่าเงินเริ่มมีเสียรภาพมากขึ้น และให้หยุดพิมพ์เงินเพิ่ม
- Central Bank ของเยอรมัน (ตอนนั้นชื่อ Reichsbank - privately owned โดย Central bank ของปรัสเซียตั้งแต่ 1876) ไม่ยอม ไม่พิมพ์เงินเพิ่มก็ไม่ได้ดอกเบี้ยและอ้างว่าผิดกฏหมายแต่ทำอะไรไม่ได้
- 1923 Nov มีเงิน Rentenmark ในระบบ 500 ล้าน และเพิ่มเป็น 1800 ล้านในปีะ 1924 Jul จากการแลกเปลี่ยนเงินเดิมเป็นเงินใหม่ สุดท้ายอัตราแลกเปลี่ยนคือ 1 ล้านๆ มาร์กเดิมเป็น 1 Reichsmark และเท่ากับ 1 Rentenmark และถูกรวมเป็นสกุลเดียวกันในเวลาต่อมา หนี้เก่าบางส่วนถูกยกเลิกไปได้
The Great Depression
- 1920s สำหรับนอกเยอรมันแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เศรษฐกิจกำลังบูม
- กลับมาที่อเมริกาหลังจาก Fed ตั้งได้ไม่นานก็เริ่มออกลาย โดยการอัดฉีดเศรษฐกิจจนเกิดฟองสบู่ ระบบเครดิตขยายตัวขึ้นจากการพิมพ์เงินเกินทองคำสำรอง และดึง supply เงินกลับก็เกิดวิกฤติขึ้นได้
- Bank of England สั่งถอนเงินปอนด์ออกจากตลาดหุ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 1929 ตลาดหุ้นพังทลาย เกิด Great Depression เสียหายไปทั่วโลก เมื่อทั่วโลกเสียหาย แปลว่ามีของถูกๆ เต็มไปหมด Central Planner เข้าไปกอบโกยสบาย
- ประชาชนเริ่มไม่ไว้ใจธนาคารว่าจะเจ๊งไม่เจ๊ง ตอนนั้นเงินผูกติดกับทองคำ จึงมีเหตุการ Gold run ขึ้น (ปกติเรียก Bank run แต่คราวนี้ถอนทอง) เนื่องจากเงินที่พิมพ์ในระบบ Fractional Bank/Reserve เกินกว่าที่มีทุนสำรอง ทำให้ไม่มีทองมาจ่าย
- 1933 สหรัฐโดยรูสเวลมีการริบทองจากประชาชน! หลังจากนั้น ลดค่าดอลล่าจาก 20 ต่อออนซ์เป็น 35 ดอลต่อออนซ์
- เมื่อริบมาได้แล้วรูสเวลได้โอนทองคำสำรองในมือของสหรัฐเอง ให้ธนาคารเอกชนที่ชื่อว่า Fed กว่า 10000 ตัน
- 1930 World Bank หรือ BIS - Bank of International Settlement ก่อตั้งขึ้นใน Basle สวิสเซอแลนด์ ถือหุ้นโดยตระกูล Rothschild (ตรงนี้แหละที่ทำให้ไม่น่ามีใครมาตรวจสอบว่าตระกูลนี้มีทรัพย์สินเท่าไรแล้วได้)
- 1933 Roosevelt เป็นชาวยิวเริ่มใช้ธนบัตร 1 ดอลล่าด้วยรูปพีระมิดและ all-seeing eye และ motto "Novus Ordo Seclorum" หรือ "New Order of the Ages"
อังกฤษยกเลิก Gold Standard ลอยตัวค่าเงิน
- หลังจากทั้ง WWI และ Great Depression ทุกประเทศหลักๆ เสียศูนย์
- 1931 อังกฤษก็เกิดเหตุการณ์เดียวกันกับเมกา (Bank run) แต่ชิงออกจากระบบ Gold Standard ก่อน และลดค่าเงิน เป็นสงครามการเงิน ลามไปทั่วว่าที่ไหนจะลดค่าเงิน หรือจะออกจากมาตรฐานทองคำ เหล่าที่ปรึกษา หรือนายธนาคารจาก Central planner ก็เสี้ยมให้ขายทอง ลอยค่าเงินตามอังกฤษ
- ช่วงปลาย ร6 ต้น ร7 บาทไทย มีการลดค่าเงินลงมา 2-3 ครั้ง เนื่องจากค่าเงินผูกตามปอนด์ และขายทองสยามหมดพระคลัง
- ทั่วโลก ด้วยฝีมือของอังกฤษ ที่เป็นศูนย์กลางการเงินโลก นำเงิน(ซื้อหรือปล้นไม่ทราบ)จากอาณานิคมไปฝากสหรัฐ ทั้งที่สหรัฐมีสภาพเหมือนเจ๊งไปแล้ว รวมถึงทองสยามด้วย หลังจากโอนย้ายเสร็จในปี 1936 ก็เริ่มสงครามโลกครั้งถัดมา ด้วยการพิมพ์เงินของ Fed ปล่อยกู้ให้ธนาคารในเยอรมันเพื่อ Finance ฮิตเลอร์พัฒนาอาวุธ
- (ก่อนหน้านี้แค่สิบกว่าปีลอยตัวค่าเงินแล้ว Hyperinflation เลยเชียวนะ ยังกล้าทำ)
- นอกจากเรื่องเงิน ยังมีเรื่องล้มระบบกษัตริย์ทั่วโลกอีกที่คอยกดดัน
ประชาธิปไตยในไทย และธนาคารกลาง
- 1932 หรือ 2475 เปลี่ยนจากสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นประชาธิปไตย
- นายปรีดีเสนอให้ตั้งธนาคารกลางตามแนวทางฝรั่งในปีถัดมา แต่ข้อเสนอตกไป และเสนออีกหลายครั้ง
- ในปี 1939 หรือ 2482 เริ่ม พรบ จัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติขึ้น 2 ปีถัดมาเริ่มใช้ พอญี่ปุ่นบุกไทยเงินขาดมือและโดนกดดันให้ตั้งธนาคารกลางพร้อมคณะที่ปรึกษา บอกถ้าไม่ตั้งเดี๋ยวตั้งให้ เราบอกขอตั้งเองละกัน และประกาศ พรบ ธนาารแห่งประเทศไทยขึ้นในปีถัดมา 1942 หรือ 2485
- ผู้ตั้งหลักๆคือนายปรีดี เป็นคนเอาร่างจากต่างประเทศมาและให้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นคนปรับปรุงและร่างกฏหมาย
WW II
- 1939-1945
- 1933 ฮิตเลอร์ เข้าตำแหน่ง ขับไล่ยิวซึ่งเป็นคอมมิวนิสทั้งหมดออกจากการดำรงค์ตำแหน่งใดๆ อเมริกัน boycott เยอรมันทันที .. ตอนนั้นเยอรมันพึ่งพาส่งออก และต้องนำเข้าอาหาร 2/3 ของที่ต้องการ เยอรมันเลย boycot ร้านค้าของยิวในประเทศบ้าง
- 1934 สวิสเซอแลนด์ออกกฏหมายห้ามตามรอยทางการเงินของธนาคาร เพื่อเตรียมตัวเข้าสงครามโลกครั้งถัดไปที่ Rothschild จะ finance ทั้งสองฝั่ง
- 1938 - 7 Nov คนในสถานทูตเยอรมันที่อังกฤษถูกยิวลอบฆ่า ทำให้เยอรมันเริ่มใช้ความรุนแรง (จากที่แค่บอยคอตยิวในประเทศ) เริ่มจากการปิดธนาคารรอทไชลด์ในเวียนนา ออสเตรีย
- 1939 เยอรมันเร่งผลิตอาวุธ รวมถึงสารเคมีที่จะไว้รมชาวยิว ด้วยแรงงานชาวยิวเองในโรงงานที่รอทไชลด์เป็นเจ้าของ
- 1 กันยาเปิดฉากสงครามโลก เยอรมันบุกโปแลนด์ เพราะทราบว่าผู้นำนับถือคริส ส่วนรัสเซียตอนนั้นโดน Rothschild รวบไปแล้ว และกลัวว่าจะมีกำลังมากขึ้นแล้วยิวจะบุกทำลายคริสเตียนจนหมด
- 1941 ญี่ปุ่นกำลังรบกับจีน ต้องการน้ำมันและเหล็กจำนวนมากมาผลิตอาวุธ อยู่ๆ ปธน รูสเวลก็เลิกขายให้ญี่ปุ่นและคาดการณืว่าญี่ปุ่นจะต้องโจมตี Perl Harbor แน่ๆ
- 1942 บุชรุ่นปู่ของ ปธน ยุคถัดมาหนุนการเงินเยอรมัน เพื่อเอามาใช้ซื้ออาวุธฆ่าคนอเมริกันและฆ่าชาวยิว แต่ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์
- 1943 ยิวประกาศไม่ให้ความช่วยเหลือยิวในโปแลนด์ บอกว่าวัวตัวนึงในปาเลสไตน์ยังมีค่ามากกว่ายิวทุกคนในโปแลนด์ เพื่อบีบให้ยิวทุกคนไปอยู่ที่ปาเลสไตน์ (อิสราเอล)
-1944 ....
- สำหรับ Conspiracy ที่เขาวางแผนมาก่อนจะมีสงครามโลก - (แปะก่อนถ้ามี background fascism ค่อยมาแปล) The second world war is to be used to forment the controversy between facism and political zionism with the slaughter of Jews in Germany a lynchpin in bringing hatred against the German people. This is designed to destroy fascism (which the Rothschilds created) and increase the power of political zionism. This war is also designed to increase the power of communism to the level that it equalled that of united Christendom.
IMF and Bretton Wood System
- 1944 Central planners ตั้งระบบกองทุนโลก IMF ขึ้นมาเพื่อปล้นโลก และตั้ง UN เพื่อเป็นเจ้าจักรวรรดิบงการโลกต่อไป
- ต่อมา ทั่วโลกเริ่ม Currency war โดยทำให้ค่าเงินตัวเองอ่อน จนพักนึงไม่ไหว เลยผูกค่าเงินคงที่กัน (Bretton Wood System) ปี 1948 โดยยังเป็น Gold standard อยู่ คือ กี่ดอลต่อออนซ์ก็ว่าไป แล้วก็ fix สกุลเงินอื่น
แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ
- 1957 (2500) จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจ
- 1958 (2501) ธนาคารโลกส่ง EHM มาไทยเพื่อทำรายงานส่งกลับว่าไทยมีทรัพยากรมาก ต้องลงทุนโน่นนี่เพื่อกู้ฝรั่งมาลงทุนทั้งเครื่องจักร ไฟฟ้า เขื่อน ฯลฯ
- 1961 (2504 )ไทยเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับแรก โดย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช) แปลมาจากฉบับของธนาคารโลกจนถึงฉบับ 6 (ปัจจุบัน ปี 56 ใช้ฉบับ 11)
- หนึ่งในแผนฯ ที่สำคัญคือสร้างสนามบิน 7 แห่ง ถนนเรียบๆ และสาธารณุปโภค โดยให้คนไทยไปกู้ธนาคารโลกมาเสียดอกเบี้ย เพื่อให้อเมริกาใช้เป็นฐานทัพที่ห้ามคนไทยเข้าไปรบเวียดนามโดยไม่ต้องขออนุญาติบิน
- เริ่มเก็บพรีเมี่ยมข้าว (หรือค่าธรรมเนียมการส่งออก) แต่แทนที่จะผลักภาระผู้บริโภคก็เป็นผลักไปที่ชาวนาแทน ขากข้าวได้ราคาต่ำ (http://pantip.com/topic/30674836) (บางคนว่าเริ่ม 2499)
- กดอัตราค่าจ้างั้นต่ำ ยกเลิกสหภาพแรงงาน และเก็บค่าพรีเมียมข้าวเพื่อเป็นเครื่องมือกดราคาข้าวให้เท่ากับค่าจ้างที่อยู่ในระดับต่ำ ผลก็คือทำให้เกษตรกรประสบปัญหาหนี้สินและความไม่มั่นคงในที่ดิน ต้องละทิ้งที่นาเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง
US Notes
- 1963 4 มิย By John F Kennedy หลังจากเซ็น President Executive Order 11110 (เลข 11) เพื่อพิมพ์เงินที่หนุนด้วยโลหะเงิน เป็นความพยายามที่จะเขี่ย Fed ทิ้ง หลังจากที่พิมพ์ United States Notes (ไม่ใช่ Federal Reserve Notes) ราวๆ 4 พันล้านดอล ยังไม่ทันได้กระจายดี ก็โดนสังหารเสียก่อนเมื่อ 22 พย เงินชุดนี้ถูกดูดออกจากระบบในเวลาต่อมา
Special Drawing Rights: SDR
- คิดค้นขึ้นโดย IMF ปี 1969 (ตาม concept NWO, 1 world currency) หรือระบบทองคำกระดาษ
- แทนที่ค่าเงินจะถูกกำหนดโดยมาตรฐานทองคำหรือตามดอลล่า (Bretton wood) กลับกลายเป็นค่าเงินเหวี่ยงตามการเกินดุลหรือขาดดุลแทน แต่ไทยยังผูกดอลล่าอยู่นะ
สงครามเวียตนาม 1955-1975
- 1939 ลุงโฮแห่งเวียตนามเริ่มแข็งข้อฝรั่งเศส
- ผีคอมมิวนิสถูกสร้างขึ้นแถบรัสเซีย
- 1940 ญี่ปุ่นบุกเวียตนามและยึดได้
- 1946 ลุงโฮแยกเวียดมินห์ออกจากเวียตนาม เชื้อคอมมิวนิสเลยถูกโยนให้เวียตนามและแถบอินโดจีนไปด้วยเลย
Fiat Currency (Paper currency)
- 1971 เมกาขาดดุลเยอะค่าสงครามเวียดนาม ก่อนนั้นน่าจะมีทองประมาณ 20000 ตัน แต่ก็ขายทองกินเรื่อยมาจนเหลือ 8000 กว่าตัน เลยยกเลิก Gold standard ไป จากประกาศของ ปธน นิกสัน จุดเริ่มของ Fiat Currency หรือเงินกระดาษ อยากพิมเมื่อไรก็พิมพ์นับแต่นั้นมา ใครมีตัง ไม่สามารถไปขึ้นทองได้ที่ธนาคารกลางอีกแล้ว หลายคนเริ่มกังวลว่าจะเกิด hyperinflation เหมือนเยอรมัน แต่ก็ไม่สน John Connally รมต คลังพูดว่า Dollar is our currency, but your problem.
- หลังจากนั้นไม่มีใครเข้าไป audit ทองของเมกาอีกเลย
- พอดอลล่าไม่มีไรหนุน เหมือนแบงค์กงเต๊ก ต้องหาทางทำให้เงินเป็นที่ต้องการ โดยบังคับตะวันออกกลางขายน้ำมันเป็นดอลล่าเท่านั้น หรือที่เรียกว่า petrodollar ในปี 1972 ทั้งโลกต้องใช้น้ำมัน ทำไรไม่ได้
- อังกฤษเป็นตลาดทองใหญ่สุด ณ ตอนนั้น (ตอนนี้น่าจะเซี่ยงไฮ้) รับฝากทองเพื่อ settlement ทั้งหลาย
- ไทยก็มีทองเก็บอยู่นะ ซัก 3% ของกองทุนสำรองเองเป็นตัวยืนยันว่าเรายอกรับระบบแบงค์กงเต๊ก
กลับมาที่ไทย
- 1971 (2514) โครงการเร่งรัดพัฒนาไฟฟ้าชนบท จาก กฟภ (National Plan for Thailand Accelerated Rural Electrification) แหล่งกู้เงินต่างประเทศที่สำคัญคือสถาบัน KfW (เยอรมันตะวันตก) สถาบัน OECF (ญี่ปุ่น) ธนาคารโลก (สหรัฐอเมริกา) กองทุนคูเวต กองทุนแคนาดา กองทุนพิเศษโอเปค กองทุนซาอุดิอาระเบีย รัฐบาลเดนมาร์ก และธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศ
- 1973 (2516) ของสงครามเวียตนาม อเมริกาลงนามสันติภาพที่ปารีส
- ตั้งแต่ 2504 มา 12 ปีไม่มีใครประท้วงเรื่องเผด็จการ แต่หลังจากสหรัฐถอนตัวไปก็มีเหตุการณ์ประท้วงขึ้น นักศึกษาเรียกร้องประชาธิไตยในไทย แต่ไม่มีใครโวยเรื่องฐานทัพอเมริกาในไทย
- ..(กำลังอ่าน)
SET Index
- 1975 เปิดตลาดหุ้นในไทย
- 1978 ตลาดหุ้นพังรอบแรก เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ต้องลดค่าเงิน และกู้ IMF 982 ล้านดอล ใช้คืนหมดเมื่อ 1990 แต่เริ่มขาดดุลตั้งแต่ 1987
- 1989-1994 (2532) เริ่มเปิดเสรีทางการเงิน
- คืนหนี้ IMF รอบแรกหมดไม่ทันไร ปี 1993 เริ่มใช้ระบบมาร์จิ้น ตลาดหุ้นขึ้นแรงมากในช่วงแรกเพื่อให้คนแห่ซื้อ และตกลงมาอย่างแรงในต้นปีถัดมาบังคับให้รายย่อยขาดทุน สัญญาณเตือนจากตลาดนำเศรษฐกิจเสมอ และต้มยำกุ้งตามมาในปี 1997 ต้องลอยตัวค่าเงิน กู้ IMF 12,296 ล้านดอล ใช้หมดเมื่อ 2001 จากการกู้ ADB มาโปะ ในจำนวนนี้มีเงินสกุล SDR อยู่ 2.9 ล้าน SDR ประมาณ 4000 ล้านดอล (อ่านแล้วงงงงเหมือนกัน สงสัย SDR อิงทองคำไม่อ่อนค่าตามดอลล่า แบงค์กระดาษ)
Plaza Accord
- 1985 ... สหรัฐบีบคอเยอรมันและญี่ปุ่นที่มีการส่งออกมากทำให้สหรัฐขาดดุลให้แข็งค่าเงินตัวเอง 30-50% ญึ่ปุ่นเจ๊ง ส่งออกไม่ได้ เลยเริ่มสยายปีกมาลงทุนในเพื่อนบ้านที่ค่าแรงค่าเงินถูกกว่า ไทยได้อานิสงค์ ฝั่งเยอรมันไม่ทราบมีมาตรการอะไรตามมา
ต้มยำกุ้ง and consequence ในไทย
- 1993 เริ่มมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรีโดยไม่มีการเตรียมความพร้อม เงินทุนไหลเข้าประเทศมาก ธปท พยายามดูดสภาพคล่องด้วยการขายพันธบัตร ทำให้ดอกเบี้ยพุ่งสูง เงินยิ่งไหลเข้าง่าย เช่นไปกูธนาคารต่างประเทศมาฝากในแบงค์ไทยก็ได้กำไร สมัยนั้นดอกเบี้ยสิบกว่า%
- เมื่อเริ่มโดนโจมตีค่าเงินก็เอาเงินทุนสำรองที่เป็นดอลล่ากว่า 2/3 ออกมาสู้ ... และพ่ายแพ้
- ปัญหาหนึ่งจากการ Fix ค่าเงินทำให้ไม่สะท้อนกลไกตลาด และด้วย SDR กับการขาดดุลทำให้เงินควรต้องอ่อนลง เลยเป็นที่มาของต้มยำกุ้ง โซรอสเป็นหนึ่งในผู้นำในเก็งกำไรค่าเงิน เป็นพวกเดียวกับ central planners
- จิ๋วกู้เงินจาก IMF พร้อมขายชาติฉบับแรก Letter of Intent แต่ยังไม่ทันดำเนินการก็ลาออกก่อน
- ธารินทร์ และชวน ขายชาติต่อฉบับที่ 2-11 ภายหลัง (1998) IMF (Hubert Neiss & Reza Moghadam) บอกว่าไม่โหดหรอก ที่รัฐบาลคุณเสนอมาขายชาติกว่านี้อีก
- สั่งปิดสถาบันการเงิน 56 (บางที่ว่า 58) แห่งโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่ครบถ้วน ทำให้สถาบันการเงินและธนาารทั้งหลายทรุดทั้งระบบ จึงตั้งกองทุนฟื้นฟู (FIDF) ขึ้นมาอุ้มสถาบันการเงินทั้งหลายแทน และให้ ปรส (ปล้นรอบสอง) นำทรัพย์สินมูลค่ากว่า 8แสนล้านบาท ออกมาขายแบบห้ามลูกหนี้มาประมูล แต่ประเคนให้ต่างชาติในราคาไม่ถึง 2 แสนล้านบาท เพื่อเอามาขายให้ลูกหนี้ ฟันกำไรไป ถ้ารวมดอกเบี้ยที่จ่ายไปด้วยก็ขาดทุนไปร่วมล้านๆ บาท (ถ้าเทียบกับที่พรรคนี้ชอบกล่าวหาว่าบางคนโกงเป็นหมื่นล้านถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก เพราะเขาเองโกงไปหลายแสนล้าน)
- มรดกบาปมูลค่า 1.14 ล้านล้านบาท เป็นภาระภาษีมาจ่ายดอกเบี้ยรวมกว่า 6 แสนล้านบาท แต่ขณะที่เงินต้นที่จ่ายโดยแบงค์ชาติลดลงไปเพียง 3 แสนล้านบาท และเพิ่งออกกฏหมายโอนหนี้ให้ ธปท จัดการเมื่อปี 2012 ด้วยความไม่เต็มใจของ ธปท ทั้งที่เป็นคนก่อเรื่อง โดยจะเรียกเก็บเงินจาก สถาบันการเงิน 0.47% ของเงินฝากถัวเฉลี่ยทั้งปี และต้องใช้ให้หมดในกรอบ 24 ปี
- ปปช นิ่งเฉย ไม่ฟ้องจนจะหมดอายุความไปเมื่อ มิถุนายน 2013 แต่เห็นข่าวว่าเพิ่งฟ้องเมื่อสิงหา 2013 ... หลังผ่านมา 15-16 ปี
- น่าสงสัยว่าแบงค์ชาติ และ ปชป ปปช เป็นลูกหม้อ central planner ด้วยหรืออย่างไร
- ประวัตินายกรณ์ก็อยู่ในเครือ Warburg และ JP Morgan มาก่อนเหมือนกัน
- 2001 การชำระหนี้ IMF หมดก่อนกำหนดยุคทักษิณ โดยกู้อีกที่มาโปะ เพื่อจะยกเลิกกฏหมายขายชาติ 11 ฉบับ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยกเลิก แค่แก้นิดหน่อย แล้วกลับดำเนินการตามกฏหมาย ขาย ปตท สียเอง
- ขาย ชาติ 11 ฉบับ ได้แก่
1. พรบ เช่าอสังหาฯ ให้เช่าได้ 50 ปี และต่อได้อีก 50 ปี ถือเป็นทรัพย์สินไว้จำนองได้
2. พรบ อาคารชุดให้ซื้อได้ 100% (ข้ออ้างที่ไม่แก้คือมีคนซื้อน้อย)
3. พรบ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน ให้ต่างด้าวซื้อที่ได้ 1 ไร่ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมาลงทุน 40ล้านบาท อ่านเองที่นี่ http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_9007.html หมวด 8 บุคคลต่างด้าว และ 9 สำหรับนิติบุคคล (มั้ง) .. ไม่เข้าใจภาษากฏหมายเลย เฮ้อ
4-5. พรบ ศาลล้มละลาย และวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย เพื่อจัดการให้เร็วขึ้น ขายทอดตลาดเร็วขึ้น
6. พรบ ประกอบธุรกิจต่างด้าว ให้สามารถแย่งอาชีพคนไทยได้มากขึ้น และเป็นเจ้าของได้ 75%(บางที่ว่า 49%?) ทำให้ต่างชาติเข้ามาทุ่มตลาดจนค้าปลีกไทยเจ๊งได้
7. พรบ ประกันสังคม ฉบับ 3 มาตรา 38 ให้พนักงานที่เลิกทำงานรับผลประโยชน์ต่ออีก 6 เดือน
8-10. พรบ แก้ไขวิธีพิจารณาคดีแพ่ง เพื่อให้รวบรัด รวดเร็วขึ้น
11. พรบ ทุนรัฐวิสาหกิจ เพื่อขายรัฐวิสาหิกเพื่อเอาเงินจากการขายหุ้นไปใช้หนี้ (อ้างว่าเป็นนโยบายของ ครม ไม่ใช่ทำจากข้อบังคับ เดาใจทักษิณว่าพอเจอข้อนี้เข้าเลยไม่ยกเลิกดีกว่า)
- จะว่าไปบางข้อก็ดีนะ เช่น 7-10 เดาเอา
- ความเห็นส่วนตัว - เห็นว่า ปชป เป็น Central planner สายการเงินที่ชอบเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติ ส่วนตัวเองทำโครงการอะไรไม่เป็น ส่วนทักษิณเป็นสาย Economic Hit Man - EHM (อ่าน: Confession of an Economic Hit Man) จากที่เห็น ชอบศึกษาความเป็นไปได้โครงการต่างๆ ให้ดูน่าลงทุนสุดๆ และกู้เงินมหาศาลทำโครงการอาจจ้างประเทศผู้ปล่อยกู้ เขาโยนเงินประเป๋าซ้ายขวา แต่เราต้องจ่ายทั้งต้นทั้งดอก ถ้าดีจริงก็ดีไป ส่วนมากด้านสาธารณูปโภคน่าจะดีอยู่แล้ว ถ้าไม่เกินตัว แต่ถ้าเยอะมากก็อาจผ่อนไม่ไหว หลังๆ เอาโมเดลนี้มาใช้บ้างกับเพื่อบ้าน ที่จำได้คือโอนจาก EXIM bank เข้าชินคอร์ป สรุปไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล คนไทยเจ๊งทั้งนั้น
- 1997 คลินตันเลิก Glass Steagall Act ทำให้แบงค์สหรัฐทำธุกรรมข้ามจากการปล่ยอกู้ และวานิชธนากิจได้ กฏหมายนี้บังคับห้ามธนาคารซื้อขายตราสารเสี่ยงเพราะกุมเงินเยอะ พอยกเลิกฟองสบู่ก็เริ่มขยายตัวอีกครั้งจาก derivatives
EUR
- ทางออกวิกฤติทางไทยคือลอยตัวค่าเงิน อีกทางคือระบบเงินสกุลเดียวประมาณ 1999 ก็เริ่มใช้ยูโร ช่วงก่อนนั้น อังกฤษก็โดนโซรอสไปหมื่น(รึเปล่า)ล้านปอนด์ เป็นข้อแก้ต่างไม่ร่วมยูโรเพราะไม่พร้อม แต่จริงๆอาจจะแค่อยากเก็บแท่นพิมพ์เงินไว้ละมั้ง ขาดทุนนิดหน่อยแต่คุ้ม
- จอร์จโซรอสเคยพูดไว้ว่า ถ้าไม่อยากให้เขาโจมตีค่าเงินก็รวมเป็นค่าเงินสกุลเดียวกันสิ
NASDAQ
- 2000 ฟองสบู่ดอทคอมเช่นกัน มีเงินเข้าระบบมาก และชักออก History repeat itself
Emerging China
- ต่อมาจีนเริ่มเข้าตลาดโลก โตเร็วแบบผูกค่าเงินดอล เมกาไม่พอใจ เล่นเงินอ่อน จีนค่อยๆ ผ่อนคลายจากดอลละ 8 หยวนเป็น 7 เป็น 6 หยวนกว่า ณ ปัจจุบัน ประมาณว่าเลี้ยงไข้เมกา อย่าไปเร็วนักขอเตรียมความพร้อมก่อน
- จีนนิยมทองพอๆกับอินเดีย ที่รายงานว่ามีอยู่ 1000 กว่าตัน หลายที่บอกว่าน่าจะลับลวงพราง จริงๆต้องเกิน 10000 ตันแล้ว เพราะส่งมอบจากฮ่องกงต่อเนื่องมานาน .. ส่วนตัวว่าครัวเรือนอาจซื้อเองบางส่วน ไม่น่าถึง
- อินเดียไม่มีอำนาจเท่าจีน เลยโดนบังคับให้ลดการนำเข้าทอง ห้ามซื้อด้วยเครดิต ทุก 100% ที่นำเข้าต้องส่งออก 10% (จำเลขไม่ได้)
- เนื่องจากเมกาจัดตั้งหลายกลุ่ม องค์กรอะไรไม่รู้เต็มไปหมด จีนไม่เคยเห็นใครเป็นนายอยู่แล้ว จะไม่รู้เชียวหรือว่าระบบการปกครองประชาธิปไตยจริง แต่ระบบการเงินโลกมันเป็นคอมมิวนิสที่ปกครองโดยแองโกลเมกา ว่าแล้วจีนตั้งขึ้นมาบ้างเห็นชอบวิเคราะห์เป็นกลุ่ม BRIC ดีนัก จัดจริงซะเลย เอา S เข้ามาด้วยเป็น BRICS
Hamburger subprime
- กลับมาที่เมกา ประเทศนี้กลัวเงินเฟ้อ(หรือเงินฝืด?)มากกว่ากลัวหนี้ แต่ก็ขาดดุล เลยพยายามขึ้นดอกเบี้ย จนคนกู้ซื้อบ้านผ่อนไม่ไหวเกิด default ขึ้น เมื่อเจอกับอนุพันธ์ทั้งหลาย CDO CDS ก็เป็น subprime พอ supply เงินขาดนิดเดียว ล้มระเนระนาด
- ก่อนหน้าขึ้นดอกเบี้ย เคยใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำมาระยะนึง และมีนโยบายสนับสนุนอสังหาด้วย อสังหาเลยบูม คำว่าดอกเบี้ยต่ำตรงนี้เองที่เรียกว่าเพิ่ม supply การเงิน พอลด supply โดยการขึ้นดอกเบี้ยถึงออกอาการกัน
- subprime เกิดจากฟองสบู่อสังหาแตก เลยต้องกดดอกเบี้ย แต่เงินก็จะเฟ้ออีก ทำไงดี
- Fed ถือหุ้นโดยเอกชนอยู่แล้ว วิกฤติ subprime เลห์แมน ซึ่งถือเป็นวงในของกลุ่ม เป็น บ บูชายัน ถ้าไม่ล้มซักที่ บ อื่นๆ จะไม่ล้ม แต่วงในรายอื่นก็ Too big to fail ไป
- บ. ที่มีเจ้าของเป็นมนุษย์บนยอดพีระมิด ไม่ว่าจะขาดทุนเท่าไร Fed ก็ยินดีรับซื้อ MBS ราคาเต็ม เพื่อให้เขาได้กำไรต่อไป แถมเศรษฐกิจก็ไม่ดี นอกจากอุ้มเอกชนก็ต้องอุ้มรัฐอีก แต่บางรัฐอยู่นอกศูนย์กลางอย่างดีทร้อยก็ปล่อยล้มไป
- เศรษฐกิจโลกเป็น central and peripheral แบงค์แม้แต่ในเมกา ถ้าไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจ ก็ล้มไปหลายร้อยแบงค์
QE Addicted
- ลุงเบนเคยทำวิทยานิพนธ์ว่าตอน great depression ถ้าอัดเงินได้เรื่อยๆเหมือนตอนนี้ จะไม่เกิดวิกฤติขึ้นหรอก พอเข้า Fed มาเลยได้ลองวิชา แต่ไม่ได้ผล ไม่มีอะไรดีขึ้น เดือนก่อนเศรษฐกิจโต 0.x% ก็ออกข่าวดีกันใหญ่ว่าฟื้นแล้ว ...แหม่
- ทุกวันนี้ลุงเบนกำลังหาทางลงจากหลังเสือ แต่แค่โยนหินว่าจะลด QE ปุ๊บ ดอกเบี้ยพันธบัตรขึ้นปั๊บ ตอนนี้หนี้บานเบอะ ดอกขึ้นก็ตาย (จริงๆ ก็ตายไปแล้วละมั้งหนี้เกิน GDP ไปตั้งกี่เท่า)
- นี่เป็นการปั่นฟองสบู่โดยการลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกลูกในขณะที่ปัญหาเดิมยังไม่ได้รับการแก้ไข ฟองสบู่ QE ขยายต่อไป
- สรุปหลังประกาศ 18/9 Fed ยังคงพิมพ์เงินต่อไป
- ทางจีนบอกว่าไม่ไหว อั๊วะผลิตแทบตาย ลื้อส่งแบงค์กงเต๊กมาให้ ไม่เอาๆ จับกลุ่มกับ BRICS ค้าขายกันเองดีกว่า swap ค่าเงินตรงไม่ผ่านดอลล่า ตอนนี้นอกกลุ่มก็ค้าขายจีนใช้หยวนกันแล้ว
- ผลจาก QE ก็ทำกลุ่มนี้เซไปเซมาอยู่เหมือนกัน จีนก็ต้องแก้ฟองสบู่ แก้ธนาคารเงา ลดกำลังการผลิตตอนนี้ที่สูงเกิน
- กลุ่มยอดพีระมิดจะยอมเหรอ ดอลเป็นเศษกระดาษแล้วแถมจะเจ๊ง เอางี้ ตั้งเศษกระดาษอีกสกุลมาใช้ เรียกว่าสกุล SDR หรือ special draw rights ใช้เหมือนดอลล่า ของ IMF เป็นตัวกลางเวลาได้ดุลขาดดุล เป็นตระกร้าเงินของสกุลหลักๆ .. (แล้วมันต่างกันยังไงใครบอกที)
- และทุบทองเพื่อทำลายความเชื่อมั่นทอง จริงๆ อาจจะกดราคาทองมาหลายปีแล้ว แต่เอาไม่อยู่ เลยเพิ่งขึ้นมาจน 2011 และปีนี้ก็ทุบต่อ ..ทุบยังไง ขายทองจริงจนจะหมดคลังแล้ว ก็ขายทองกระดาษต่อ
- ตอนนี้ เยอรมัน(และอีกหลายประเทศ) เริ่มไม่ไว้ใจเมกา ขอเอาทองที่ฝากไว้คืน เมกาบอกไม่ได้ รออีก 7 ปีก่อน (2010) .. เอ๊ะยังไง ของที่เราฝากไว้ไม่ใช่ของๆ เราหรือไง .. สงสัยขายไปหมด จะซื้อคืนก็กลัวราคาขึ้นเลยให้รอก่อน ถึงเวลาก็อาจเลื่อนไปอีก
Gold standard#2?
- เพจคุณทนงบอกว่า Fed ไม่สามารถลด QE ได้ ต้องเป็น QE Infinity เพราะรายรับไม่พอจ่ายดอกเบี้ยแล้ว ดังนั้นถ้ามีเหตุการณ์อะไร จีนจะทิ้งดอล ลอยค่าหยวนกลับไปใช้ Gold Standard รึเปล่า ตอนนี้ก็ตุนทองไว้แล้ว ยอมตัดขาดทุนนิดหน่อยเวลาดอลลง ถ้ายืดยาวไม่เกินปีหน้า แล้วเมกามีสิทธ์ประกาศรบกับจีนเพื่อหวังว่าจะได้กำไรเหมือนประเทศอื่นๆ หรือแบบสงครามโลกคราวก่อนๆ
- QE จะ taper หรือไม่ จีนจะทำไง จะมีสงครามไหม ตุลานี้ หรือไม่เกินปีหน้า (เขาว่า) รู้กัน
Update ล่าสุด
- 2013 ต้นเดือนตุลา สหรัฐไม่สามารถผ่านงบปีนี้ เกิด Government shutdown ไม่มีกำหนดแน่นอน สาเหตุจากรีพลับบิกันไม่ให้ผ่าน Obamacare ที่เป็นประชานิยมและจะไม่ให้ยกเพดานหนี้ที่อยู่ที่ 100% ของ GDP ทำให้ไม่สามารถพิมพ์เงินเพิ่มได้ แต่มันพ่วงเรื่อง Obamacare เข้าไปทำให้ต่อรองไม่ได้ ฝั่ง Republican กลัวประเทศเจ๊งซะก่อนเลยยอมยกเพดานชั่วคราว และจะตกลงกันแบบไม่ใช้ตัวประกันอีกทีต้นปีถัดไป
- 2014 กำลังรอ...
Looking forward ... WW III?
- เดิมทีเขาต้องการให้มีเพื่อ End Game แต่หลาย factor ไม่เป็นใจทั้งโอบามาที่ไม่ยอมทำสงครามซีเรียแถมไปคุยโทรศัพท์กับอิหร่านอีก จีนที่ดันคุมธนาคารเงา ฟองสบู่ไม่ยอมแตก รัสเซียที่คุมแก๊สของยุโรป คนก็สะสมทองกันเตรียมทิ้งดอลล่า ทำให้การปิดเกมลำบากขึ้น เวบ jimmysiri บอกตอน 2010 ว่า กลางปี 2012 - ปลาย 2013 ดูแล้วอาจต้องเลื่อนไป mark faber ว่าไม่เกิน 3-5 ปี เพจคุณทนงว่าไม่เกินปี เพราะเรื่องเพดานหนี้ทำให้ต้องทำอะไรซักอย่าง
- ฝั่ง Rothschild ตอนนี้เดินเกม Climate change ซึ่งต้องการให้มีภาษี carbon credit (จ่ายเข้าธนาคารโลกของเขา) มีปล่อย Chemtrail และ HAARP เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเสียเอง
- การวางแผนของสงครามโลกครั้งที่สามคือต้องการสร้างความเกลียดชังแก่คนมุสลิมหรือในรัฐบาลแต่ละประเทศให้มีความขัดแย้งกันมากๆ ทั้งประท้วง จราจล และทำสงคราม เมื่อทั่วโลกอ่อนล้า เขาจะสามารถคุมทุกอย่างไว้ในมือ
รวบรวม ย่อ เรียบเรียงจาก
และอีกหลายเวบ, Thank you
โพสแรก 15/8/56
แก้ครั้งที่ 1 16/8/56 แปะ link และแก้ subprime
แก้ครั้งที่ 2 20/8/56 แก้รายละเอียดตระกูล Rothshild และผู้ถือหุ้น Fed
แก้ครั้งที่ 3 27-29/8/56 เกริ่นนำ เพิ่มรายละเอียด และ Correction - ทำไปทำมาชักเป็นประวัติศาสตร์ Rothschild ไปซะละ :P ถ้าไม่สนเรื่องไหนก็ข้ามๆ ไปนะ
แก้ครั้งที่ 4 4/9/56 เพิ่ม Hyperinflation
แก้ครั้งที่ 5 19-21,27/9/56 Gold Standard update + เรื่องในไทย
แก้ครั้งที่ 6 8, 28/10/56 Corrections + เพื่มเรื่องไทย
Credit : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=calaglin&month=08-2013&date=15&group=4&gblog=9

ขอให้เป็นวันที่ดี,
ตอบลบฉัน voorhees philip ฉันต้องการลงทุนในธุรกิจของคุณด้วยความสุจริตฉันมีเงินทุนสำหรับการลงทุนที่ทำกำไรฉันยังเสนอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีต่ำมากถึง 3% ภายในระยะเวลาการชำระคืนหนึ่งปี เป็นส่วนหนึ่งของโลก
คุณต้องการเครดิตที่อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีสำหรับจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณต้องการเงินทุนหรือการเป็นหุ้นส่วนหุ้น 50/50% เป็นระยะเวลา 1 ถึง 10 ปีหรือไม่? ฉันต้องการทราบทางเลือกของคุณเพื่อให้เราสามารถดำเนินการเจรจาได้จำนวนเงินทุนสูงสุดคือ $ 100million USD
ติดต่อ EMAIL: info@voorhinvestcorp.com
URL ของเว็บไซต์: http://voorhinvestcorp.com/
WhatsApp: +1 4704068043
LINE ID: philipvoor
อีเมล: voorheesphilip@gmail.com
ขอบคุณ
VOORHEES PHILIP