โลกไม่เคยยุดนิ่ง
มันหมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดเวลา
ตามกฎแห่งความเป็นจริงของพุทธศาสนาที่ว่าทุกสิ่งมันไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง (Impermanent)
และไม่มีใครสามารถที่จะหยุดความไม่เที่ยงนี้ได้
โลกมันก็หมุนรอบดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา มีกลางวันและกลางคืน มีน้ำขึ้นและมีน้ำลงทุกๆวินาที
หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามการกระแสการหมุนไปของโลกตลอดเวลา และที่น่าสนใจคือ
อารมณ์คนก็เหมือนกัน มันก็ขึ้นๆลงๆ เป็นปกติของมัน เหมือนกับตลาดหุ้นนั่นแหละ
ที่มันมีขึ้นๆลงๆ เป็นปกติของมัน
แต่ที่ไม่ปกติคือว่าคนไปพยายามคาดหวังให้มันเป็นไปตามใจที่ตัวเขาคิด
พอไม่เป็นตามใจคิดก็ทุกข์ ขาดทุน ตามๆกันไป
เพราะความเปลี่ยนไปเป็นปกตินี่เองจึงทำให้ สภาวะต่างๆไม่สามารถ
เหมือนกันทุกประการได้ แม้กระทั่งฝาแฝดว่าเหมือนกัน ก็ยังไม่เหมือนกันเลย
ความคิดของคนเราหลายๆคน ก็เลยๆไม่สามารถเหมือนกันได้
เพราะอยู่ในสภาะอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆ ไม่เท่ากัน มีความรู้ประสบการณ์มาไม่เท่ากัน
จึงทำให้คนนั้นให้ความหมายของแต่ละสิ่งแตกต่างกันไป อย่างคำว่า "สวย"
หรือ "ไพเราะ" ของอีกคนนึง ก็ไม่อาจจะเหมือนกับอีกคนนึง
ซึ่งแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป ถึงแม้จะเหมือนกัน แต่ลายละเอียดยิบย่อย
ก็ไม่สามารถเหมือนกันได้ ความหมายของความร่ำรวยก็เช่นกัน
เมื่อมีความแตกต่างทางความคิด และยังไม่รู้ว่าอะไรจริง
ก็ทำให้คนนั้นมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป
เรามองไปรอบๆ เราจะเห็นคนข้างถนน
เห็นคนหลากหลายอาชีพทำงาน ไม่ว่าจะเป็นมอไซต์รับจ้าง พนักงานออฟฟิศ พ่อค้าแม่ค้าในตลาด
หรือเด็กนักเรียนนักศึกษา ... เดินไปเดินมาตามหาควาฝันและความสำเร็จเต็มไปหมด
และฝันและความสำเร็จที่ว่านี้ไม่ใช่อะไรอื่นมันก็คือ ความร่ำรวย
หรือทีเขาว่าอิสรภาพทางการเงินนั่นเอง ผมก็มีคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่ทุกคนดิ้นรนค้นหาที่เรียกกันว่า
"ความรวย" นั้นมันคืออะไร ? และความหมายของคนรวยที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร?
ผมก็หาคำตอบมานาน
จนผมได้ฟังลุงโฉลก ซึ่งเป็นนักลุงทุนในตลาดทุนมานานกว่า 40
ปี และเป็นอาจารย์ของเซียนหุ้นทั้งหลายในตลาด ในรายการทีวีถอดรหัสเซียนซึ่งเป็นรายการเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดทุน
ท่านได้พูดถึงความร่ำรวย และทำให้เปลี่ยนมุมมองผมเลย ท่านกล่าวไว้ประมาณว่า
"ความร่ำรวยมันก็คือการมีทรัพย์สินมากกว่าความต้องการ
หรือมีความต้องการน้อยกว่าทรัพย์สิน
Rich = Your Asset >
Your Desire
Rich = Your Desire <
Your Asset
และถ้าคุณอยากจะรวยแล้วไปวิ่งตามความต้องการนั้นจะยากมาก
แต่ถ้าเราแค่ลดความต้องการลงแค่นี้ก็รวยแล้ว ง่ายๆแค่นี้เองอยู่ที่วิธีคิดเท่านั้นเอง"
ทำให้ผมเข้าใจเลยว่ามันไม่ยากเลย และทำให้ผมเห็นเลยว่า อ๋อ...ความร่ำรวยนั้นมันแบ่งเป็นความรวยแบบรูปธรรม และรร่ำรวยแบบนามธรรม
นี่เอง!
ซึ่งความรวยแบบรูปธรรมคือการ
การที่เรามีเงิน มีทรัพย์สิน ที่เป็นของคุณจริงๆโดยหักหนี้สินออกไปทั้งหมดแล้ว
ต้องมีเยอะๆ เยอะมากๆ ที่วัดออกมาเป็นตัวเลขแล้วว่า การที่คุณจะเป็นเป็นคนร่ำรวยคือคุณต้องรู้ว่าค่าเฉลี่ยมูลค่าทรัพย์สินของคนจน
และคนชั้นกลาง มีเท่าไหร่ และถ้าคุณมีมากกว่าก็ถือว่าร่ำรวย สมมุติค่าเฉลี่ยมูลค่าทรัพย์สินของจน
1 คนมีเท่ากับ 1 แสนบาท
และค่าเฉลี่ยมูลค่าทรัพย์สินของคนชั้นกลางมีเท่ากับ 1 ล้าน
และถ้ามูลค่าทรัพย์สินของคุณมีมากกว่า 1 ล้าน คุณก็คือคนร่ำรวยนั่นเอง
และถ้าคุณมีมากกว่า 1 ล้านบาทนี้มากๆ ก็คือมหาเศรษฐี
และมากกว่านั้นแบบมากๆๆๆ ก็คืออภิมหาเศรษฐีนั่นเอง นี่ก็เป็นความรวยแบบรูปธรรมที่ถูกอิง
และเปรียบเทียบ และวัดค่าจากค่าเฉลี่ยมูลค่าทรัพย์ที่วัดออกมาเป็นให้เห็นและพิสูจน์ได้
และมันก็มีวิธีที่วัดคล้ายๆกันอย่างนี้อีกมากกมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดจากรายได้
วัดจากความสามารถจากการหารายได้ บลาๆๆ..
ส่วนความรวยแบบนามธรรมมันคือสิ่งที่อยู่ภายใน
มันคือความร่ำรวยที่วัดค่าออกมาไม่ได้ มองไม่เห็น แต่สามารถรู้สึกได้ เข้าใจได้ด้วยตัวเอง
และไม่ว่าคุณจะมีมุลค่าทรัพย์สินมากเท่าไหร่ หรือไม่มีเลยก็ตาม
คุณก็สามารถที่จะเป็นคนร่ำรวย จนกระทั่งเป็นอภิมหาเศรษฐีได้เช่นกัน เพราะมันเป็นอารมณ์เหมือนกับคนที่กินข้าวอิ่มมากๆแล้ว
ไม่ต้องการที่จะกินอีกแล้วนั่นเอง ถ้ามีเอาให้กินอีกก็อยากจะเอาไปแบ่งให้คนอื่นกินบ้างนั่นเอง
(ซึ่งมันก็ต่างกับคนที่มีความรู้สึกหิวตลอดเวลา ต้องการอาหารตลอดเวลา) และนี่แหละที่คนๆนึงจะสามารถมีความรู้สึกร่ำรวยนี้ได้ตลอดเวลาราวกับมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีมุลค่าทรัพย์สินของตัวเองที่มากเท่ากับคนที่เป็นอภิมหาเศรษฐีเลยทีเดียว
ซึ่งทำได้โดยการลดความปราถณาลง
ผมชอบมากเลยในหนังสือของ
T. Harve Eker หนังสือเรื่อง Secret of the Millionaire
Mind ที่เขาพูดเรื่องของความสุขในด้านการเงินไว้ว่า ถ้าความสุขของคุณคือต้องการมีบ้านพักตากอากาสหลายๆหลัง
การมีรถซุปเปอร์คาร์สิบคัน ไปเที่ยวรอบโลกปีละหลายครั้ง กินไข่ปลาคาร์เวีย
และดื่มแชมเปญให้กับความสุขของชีวิต มันไม่ผิดหรอก! แต่ถ้ามองตามความเป็นจริงแล้วมันจะต้องใช้เวลานานมากๆเลยทีเดียวกว่าจะได้ความสุขนั้น
หรือมองอีกมุมคือคุณจะใช้เวลานานมากๆที่คุณจะไม่มีความสุข หรือมีทุกข์ ที่จะออกจากหลุมดำนั้นได้เพื่อมาเจอแสงสว่าง
ฉะนั้นมันขึ้นกับกล่องของความสุขของเราว่าคุณมีกล่องความสุขใบใหญ่ขนาดไหนละ?
เพราะถ้าในใจเราคือ บ้านหลังโต รกซุปเปอร์คาร์หลายคันเที่ยวรอบโลก
นั่นกล่องความสุขมันใหญ่ไปรึเปล่า? ใช้เวลานานไปรึเปล่าจนกว่าจะเต็ม ?
ถ้ากล่องความสุขความร่ำรวย
ความพอใจของเราคือบ้านใหญ่ก็ดี บ้านเล็กก็ดี รถมีขับก็ดี ไม่มีขับก็ดี
อาหารมีกินให้อิ่มก็พอ ไม่ต้องไข่ปลาคาร์เวียก็ได้ ไปเที่ยวบ้างก็ดี ไม่ได้เที่ยว อยู่กับครอยครัว
พักผ่อนทำสมาธิบ้างก็ดี อย่างนี้กล่องความสุขของเราจะไม่มีเงื่อนเยอะแยะมากมาย
และเป็นกล่องที่ไม่ใหญ่มากเกินไป ผมว่ามันก็ทำให้ความสุขและความร่ำรวยมาพร้อมกันให้กับทุกคนแล้วละครับ
มาลดขนาดกล่องความสุข ลดความปราถนากันบ้างเถิดครับ เพื่อจะได้ร่ำรวยและสุขขีกันทุกคนครับ
ขอบคุณคำสอนของพระพุทธเจ้า
ขอบคุณโอวาทลุงโฉลก สัมพันธารักษ์
ขอบคุณรายการถอดรหัสเซียน
ขอบคุณหนังสือ Secret of the Millionaire Mind
ผมจะพยายามเข้าใจต่อไป
-โต-
24/1/2558



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น