ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าในตลาดทุน
ราคาสินทรัพย์ ราคาหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ราคาข้าว ทองคำ น้ำมัน น้ำตาล ข้าวโพด หมู เห็ด เป็ดไก่ .....ฯลฯ ราคาชีวิต
ราคาค่าแรง...หรืออะไรต่างๆนั้นจริงๆแล้วมันถูกกำหนดโดยมนุษย์หรือคนที่มีความคิดต่างกันคือ
-ความต้องการซื้อ(Demand) และ ความต้องการขาย(Supply)
-ความต้องการอยากเก็บสะสมเอาไว้ และความต้องการอยากจะปล่อยออกไป
-ความต้องการอยากจะถือ และความต้องการอยากจะทิ้งไป
-หรือคนที่โลภ(Greed) และคนที่กลัว(Fear)....

ดังนั้นราคาของสิ่งต่างๆที่อยู่ในตลาดก็เปรียบเสมือนเป็นการถูกลงมติหรือถูกลงความเห็นอย่างนึง
คล้ายๆกับการเลือกตั้งในระบบการปกครอบแบบประชาธิปไตยยังไงยังงั้นเลย ผลคือถ้าฝ่ายไหนชนะราคาก็เป็นไปตามนั้น
ต่างกันตรงคาบเวลา เพราะประชาธิปไตยนั้นลงมติกันทุก 4 ปี
แต่ในตลาดทุนนั้นลงมติกันทุกวัน ทุกวินาที ซึ่งถ้าฝ่ายขอซื้อ(Demand) มีประชากรมากกว่า
มีแรงอยากได้มากกว่า มีพลังมากกว่าผู้อยากขาย(Supply) ก็ชนะเลือกตั้งไป
ก็ให้ราคานั้นเป็นราคาที่แท้จริงในปัจจุบัน
ก็ถึงบางอ้อว่าราคาของทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีการขึ้นลงตามความอยากของคนนั่นเอง
บางทีพวกเขาทั้งหลายก็อยากได้มากๆ ราคาก็ขึ้นเอาๆ เรียกกันว่าเป็นสภาวะที่ร้อนแรงนี้ว่าเป็นสภาวะกระทิง
(Bull Market) หรือบางทีพวกเขาก็กลัววิ่งหนี
ทิ้งทุกราคา ราคามันก็ลงเอาๆ เรียกสภาวะนี้ว่า ภาวะหมี (Bear Market) หรือบางครั้งอารมณ์เขานิ่งๆ
ราคามันก็ไม่ไปไหนอยู่ที่เดิม มันจึงเกิดมีทฤษฎีของ Dow และ Elliot wave theory ขึ้นและตรงกับความจริงพุทธศาสนาที่ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามเหตุปัจจัย
ฉนั้นราคามันเลยขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาเป็นไปตามอารมณ์ของคน
แม้กระทั่งราคาชีวิตของคนเรา ซึ่งถ้าวัดตามความสามารถในการสร้างรายได้ มันก็ขึ้นลงตามราคาของปัจจัยอื่นๆด้วย
อย่างเช่นราคาน้ำมันขึ้น บุคคลนั้นทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ก็สามารถได้โบนัส
คอมมิสชั่นมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น
ดังนั้นถ้าใครรู้ว่าคนกำลังจะโลภ
อยากได้มากๆในสินค้าอะไร หรือกลัวมากๆในสินค้าอะไร หรืออะไรเป็นเทรนด
ก็เข้าไปเกร็งกำไรก็สามารถรวยได้จากการขึ้นๆลงๆของราคาได้นั่นเอง
โดยธรรมชาติแล้วราคาของสิ่งต่างๆมันก็ส่งผลต่อกันและกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
เช่น ถ้าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้น อย่างเช่นพวกน้ำมัน
น้ำตาล ข้าวโพด ก็ทำให้พ่อค้าคนกลางผู้ตุนสินค้าราคาถูกกว่าไว้ก่อนหน้านี้ได้ประโยชน์ได้กำไรมากขึ้น
แต่มันก็ส่งผลทำให้ผู้บริโภคแบกภาระหนักมากขึ้น
เพราะต้องจ่ายแพงขึ้น และเมื่อพวกเขาจ่ายแพงขึ้น จากความต้องการซื้อปริมาณเท่าเดิมก็ซื้อน้อยลงเรื่อยๆ
และถ้าเป็นอย่างนี้ไปได้นานๆ ของก็ขายยากขึ้นๆ เศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลออกมาประกาศสู้กับราคาข้าวของในตลาด
รัฐบาลก็อาจจะไปประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
หรือลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้พ่อค้าคนกลางจ้างงานมากขึ้น เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคให้หันมาจับจ่ายใช้สอย
เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น มันส่งผลกันระหว่างคือนักลงทุน พ่อค้า
และคนทำงานทั่วไป และรัฐบาล จึงตรงกับวลีในพุทธศานาที่ว่า "เด็ดดอกหญ้า
สะเทือนถึงดวงดาว" นั่นเอง
.jpg)





ขอให้เป็นวันที่ดี,
ตอบลบฉัน voorhees philip ฉันต้องการลงทุนในธุรกิจของคุณด้วยความสุจริตฉันมีเงินทุนสำหรับการลงทุนที่ทำกำไรฉันยังเสนอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีต่ำมากถึง 3% ภายในระยะเวลาการชำระคืนหนึ่งปี เป็นส่วนหนึ่งของโลก
คุณต้องการเครดิตที่อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีสำหรับจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณต้องการเงินทุนหรือการเป็นหุ้นส่วนหุ้น 50/50% เป็นระยะเวลา 1 ถึง 10 ปีหรือไม่? ฉันต้องการทราบทางเลือกของคุณเพื่อให้เราสามารถดำเนินการเจรจาได้จำนวนเงินทุนสูงสุดคือ $ 100million USD
ติดต่อ EMAIL: info@voorhinvestcorp.com
URL ของเว็บไซต์: http://voorhinvestcorp.com/
WhatsApp: +1 4704068043
LINE ID: philipvoor
อีเมล: voorheesphilip@gmail.com
ขอบคุณ
VOORHEES PHILIP