มารู้จักกัน คลิ๊กเลย!

มารู้จักกัน คลิ๊กเลย!
มารู้จักกัน คลิ๊กเลย!

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

ราคาใครเป็นผู้กำหนด?



            ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าในตลาดทุน ราคาสินทรัพย์  ราคาหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาข้าว ทองคำ น้ำมัน น้ำตาล ข้าวโพด หมู เห็ด เป็ดไก่ .....ฯลฯ  ราคาชีวิต  ราคาค่าแรง...หรืออะไรต่างๆนั้นจริงๆแล้วมันถูกกำหนดโดยมนุษย์หรือคนที่มีความคิดต่างกันคือ



-ความต้องการซื้อ(Demand) และ ความต้องการขาย(Supply)
-ความต้องการอยากเก็บสะสมเอาไว้ และความต้องการอยากจะปล่อยออกไป
-ความต้องการอยากจะถือ และความต้องการอยากจะทิ้งไป
-หรือคนที่โลภ(Greed) และคนที่กลัว(Fear)....



            ดังนั้นราคาของสิ่งต่างๆที่อยู่ในตลาดก็เปรียบเสมือนเป็นการถูกลงมติหรือถูกลงความเห็นอย่างนึง คล้ายๆกับการเลือกตั้งในระบบการปกครอบแบบประชาธิปไตยยังไงยังงั้นเลย ผลคือถ้าฝ่ายไหนชนะราคาก็เป็นไปตามนั้น ต่างกันตรงคาบเวลา เพราะประชาธิปไตยนั้นลงมติกันทุก 4 ปี แต่ในตลาดทุนนั้นลงมติกันทุกวัน ทุกวินาที  ซึ่งถ้าฝ่ายขอซื้อ(Demand) มีประชากรมากกว่า มีแรงอยากได้มากกว่า มีพลังมากกว่าผู้อยากขาย(Supply)  ก็ชนะเลือกตั้งไป ก็ให้ราคานั้นเป็นราคาที่แท้จริงในปัจจุบัน


            ก็ถึงบางอ้อว่าราคาของทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีการขึ้นลงตามความอยากของคนนั่นเอง บางทีพวกเขาทั้งหลายก็อยากได้มากๆ ราคาก็ขึ้นเอาๆ เรียกกันว่าเป็นสภาวะที่ร้อนแรงนี้ว่าเป็นสภาวะกระทิง (Bull Market) หรือบางทีพวกเขาก็กลัววิ่งหนี ทิ้งทุกราคา ราคามันก็ลงเอาๆ เรียกสภาวะนี้ว่า ภาวะหมี (Bear Market) หรือบางครั้งอารมณ์เขานิ่งๆ ราคามันก็ไม่ไปไหนอยู่ที่เดิม มันจึงเกิดมีทฤษฎีของ Dow และ Elliot wave theory ขึ้นและตรงกับความจริงพุทธศาสนาที่ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามเหตุปัจจัย




            ฉนั้นราคามันเลยขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาเป็นไปตามอารมณ์ของคน แม้กระทั่งราคาชีวิตของคนเรา ซึ่งถ้าวัดตามความสามารถในการสร้างรายได้ มันก็ขึ้นลงตามราคาของปัจจัยอื่นๆด้วย อย่างเช่นราคาน้ำมันขึ้น บุคคลนั้นทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ก็สามารถได้โบนัส คอมมิสชั่นมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น

             ดังนั้นถ้าใครรู้ว่าคนกำลังจะโลภ อยากได้มากๆในสินค้าอะไร หรือกลัวมากๆในสินค้าอะไร หรืออะไรเป็นเทรนด ก็เข้าไปเกร็งกำไรก็สามารถรวยได้จากการขึ้นๆลงๆของราคาได้นั่นเอง
            โดยธรรมชาติแล้วราคาของสิ่งต่างๆมันก็ส่งผลต่อกันและกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เช่น ถ้าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้น  อย่างเช่นพวกน้ำมัน น้ำตาล ข้าวโพด ก็ทำให้พ่อค้าคนกลางผู้ตุนสินค้าราคาถูกกว่าไว้ก่อนหน้านี้ได้ประโยชน์ได้กำไรมากขึ้น  แต่มันก็ส่งผลทำให้ผู้บริโภคแบกภาระหนักมากขึ้น เพราะต้องจ่ายแพงขึ้น และเมื่อพวกเขาจ่ายแพงขึ้น จากความต้องการซื้อปริมาณเท่าเดิมก็ซื้อน้อยลงเรื่อยๆ และถ้าเป็นอย่างนี้ไปได้นานๆ ของก็ขายยากขึ้นๆ เศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลออกมาประกาศสู้กับราคาข้าวของในตลาด รัฐบาลก็อาจจะไปประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้พ่อค้าคนกลางจ้างงานมากขึ้น เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคให้หันมาจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น มันส่งผลกันระหว่างคือนักลงทุน พ่อค้า และคนทำงานทั่วไป และรัฐบาล จึงตรงกับวลีในพุทธศานาที่ว่า "เด็ดดอกหญ้า สะเทือนถึงดวงดาว" นั่นเอง







1 ความคิดเห็น:

  1. ขอให้เป็นวันที่ดี,
    ฉัน voorhees philip ฉันต้องการลงทุนในธุรกิจของคุณด้วยความสุจริตฉันมีเงินทุนสำหรับการลงทุนที่ทำกำไรฉันยังเสนอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีต่ำมากถึง 3% ภายในระยะเวลาการชำระคืนหนึ่งปี เป็นส่วนหนึ่งของโลก

    คุณต้องการเครดิตที่อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีสำหรับจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณต้องการเงินทุนหรือการเป็นหุ้นส่วนหุ้น 50/50% เป็นระยะเวลา 1 ถึง 10 ปีหรือไม่? ฉันต้องการทราบทางเลือกของคุณเพื่อให้เราสามารถดำเนินการเจรจาได้จำนวนเงินทุนสูงสุดคือ $ 100million USD
    ติดต่อ EMAIL: info@voorhinvestcorp.com
    URL ของเว็บไซต์: http://voorhinvestcorp.com/
    WhatsApp: +1 4704068043
    LINE ID: philipvoor
    อีเมล: voorheesphilip@gmail.com
    ขอบคุณ
    VOORHEES PHILIP

    ตอบลบ