เราก็พอรู้ๆกันแล้วว่าในโลกปัจจุบันหลายๆคนใช้เงินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้ชีวิต
ซึ่งเมื่อคนส่วนใหญ่คิดว่าเงินสำคัญต่อการใช้ชีวิตและหลายๆคนบนโลกก็เห็นแบบนั้น
จึงทำให้โลกปัจจุบันจึงกลายเป็นโลกของระบบทุนนิยม ซึ่ง "ทุน"
จะเป็นตัวกำหนด และเป็นตัวชี้วัดความสุขของมนุษย์ซึ่งสามารถเห็นได้จับต้องได้
ใครมีทุนมาก มีเงินมาก ก็จะถูกนิยมว่าเป็นผู้มีอำนาจมาก มีเวลามาก
มีการต่อรองได้ดีกว่าผู้มีทุนน้อย เปรียบเสมือนว่าถ้าคนที่มีทุนมากเขาก็จะมี
3 สิ่ง คือ เงิน เวลา และสุขภาพ ซึ่งทั้ง 3 สิ่งมันมีความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันต่อกันและกัน
และมีความสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตที่มีความสมดุลมากในปัจจุบัน บางคนเรียกภาวะนี้ว่า
เป็นผู้มี "อิสรภาพทางการเงิน" หรือ Financial Freedom อย่างที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ ซึ่ง 3 สิ่งนี้มันก็มีความสำคัญมากจริงๆ
และใครมี 3 สิ่งนี้ก็ถือว่ามีความสุขสมดุลมากสุดๆในการใช้ชีวิต
ลองนึกดูสิครับอำนาจของเงินสามารถซื้อเวลาได้ --ซื้อได้อย่างไร?
เช่นถ้าเรามีเงินมากเราก็ไม่ต้องเอาเวลาและสุขภาพออกไปแลกกับเงินอีกต่อไปและสามารถใช้เวลาไปทำอะไรก็ได้ตามใจปราถณา
เช่น เอาเงินซื้อทัวร์พาพ่อแม่ไปเที่ยว พาแฟนไปเที่ยว พาลูกไปเที่ยว
หรือแม้กระทั่งถ้ามีเงินมากๆก็สามารถซื้อการักษาพยาบาลที่ดีให้ตัวเอง
และผู้อื่นได้ หรือซื้ออาหารดีๆมีประโยชน์กิน ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้
เราจึงเห็นว่าโลกของทุนนิยมนั้น เงิน/ทุน นั้นมีความสำคัญมาก มีอำนาจมาก
ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเวลาในชีวิตและสุขภาพร่างกาย แต่ทั้ง 3 อย่างนี้มีข้อจำกัดทั้งหมด เช่น เงิน
สมุติว่าคำนวนแล้วพบว่าทุกคนในโลกเอาเงินมากองรวมกันมีอยู่จำนวน 100 ล้านบ้านบาท(แค่สมมุตินะครับที่จริงนับไม่ถ้วน) แต่ความเป็นจริงคือว่าถ้าวิเคราะห์ตามตัวเลขเราจะเห็นว่ามันก็ตกอยู่ในกฏเปเราโต้
80/20 ที่ว่าจะมีคนแค่ 20% เท่านั้นที่เป็นคนรวยที่สุด
หรือเป็นผู้ที่มีความสมดุลในชีวิตมากที่สุด และเป็นเจ้าของเงินรวมกัน 80 ล้านล้านบาทนั่น ส่วนอีก 20 ล้านล้านบาทจะกระจายไปอยู่กับคนอีก
80% ซึ่งเป็นคนจน หรือผู้ไม่มีอำนาจต่อรองอะไรได้เลย
ซึ่งถ้าวิเคราะห์ตามตัวเลขนั้นเราจึงเห็นได้ว่าเงินนั้นหายากมาก
มันจึงมีขีดจำกัดที่คนจนธรรมดาจะกลายเป็นผู้มีอิสระภาพทางการเงิน และได้ใช้เงินตามสมปราถณา
แต่ถึงแม้เงิน เวลา และความสุขจะดูเหมือนว่ามีอยู่อย่างจำกัด แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ทั้งหมด
เพราะคำว่า"สมปราถณา" นั่นเอง
ซึ่งว่าสมปราถณานั้นมันอยู่ในใจของแต่ละบุคคล มันเป็นเรื่องของความพึงพอใจ อิ่มใจ
สุขใจ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่คนๆนั้นได้รับ ใครไม่สามารถรับรู้ได้นอกจากตัวเขา
และมันวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ยากมาก ดังนั้นการที่จะวัดมูลค่าเงินทางตัวเลขออกมาว่าใครมีมากน้อยเท่านั้นเท่านี้จึงจะมีความสุข
นั่นมันเป็นความเชื่อแบบวิทยาศาสตร์ที่สามารถวัดให้เห็นผลให้คนทั่วไปเข้าใจได้
และเป็นความเชื่อของชาวตะวันตกตั้งแต่ก่อนเริ่มที่อเมริกามีการปฏิวัติทองคำ ช่วงปี
ค.ศ.1971 เป็นต้นมาด้วยซ้ำ ยกอย่างเช่นในอเมริกามีการสำรวจว่าถ้าใครมีเงินเท่าไหร่จึงจะความสุข
ก็พบว่าในช่วงประมาณปี ค.ศ.1980 ครอบครัวที่มีเงินหรือทรัพย์สินมากกว่า
3 ล้านดอลล่าและไม่มีหนี้สินถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยและมีความสุข
...(นี่ชาวตะวันตกเขาวัดกันอย่างนี้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมันก็วัดจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆตามอัตราเงินเฟ้อ)
และครอบครัวที่มีเงินน้อยกว่านี้คือครอบครัวที่ปานกลางไปจนถึงยากจนแร้นแค้น
แต่ทางตะวันออกบอกว่ามันไม่จริง เพราะอะไร? ก็เพราะว่า ความสุขมันก็คือความสุข
มันเป็นสภาวะทางจิตใจที่ถูกปลดปล่อยไร้ซึ่งความความกังวลต่างหาก ซึ่งไม่เห็นจะเกี่ยวมูลค่าของเงิน
หรือรายได้อะไรมากมายเลย เพียงแค่มนุษย์มีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตก็เพียงพอ
และมีความสุขได้
....จึงทำให้การถกเถียงเรื่องความสุขระหว่างชาวตะวันตกและชาวตะวันออกจบลงเพียงเท่านี้..... เมื่อจบลงเพียงเท่านี้จึงทำให้คนในโลกก็มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
เพราะความเชื่อที่แตกต่าง เช่น
บางคนก็ออกไปทำงานอย่างหนักเอาเป็นเอาตายเพื่อหาเงิน
เพราะเชื่อแบบชาวตะวันตกว่าการมีเงินมากทำให้สุขจริงๆ
เขาจึงเดินทางใช้ชีวิตอย่างนั้นเพื่อที่จะไปสู่ฝั่งฝันอิสรภาพทางการเงิน
ซึ่งบางคนก็สำเร็จ บางคนก็ไม่สำเร็จ
ส่วนการใช้ชีวิตของอีกคนนึงเขาบอกว่าขอให้มันเป็นไปอย่างสบายๆก็ได้ไม่ต้องดิ้นรนมาก
ชีวิตมันสั้นอยู่แล้ว มีเท่าไหร่เราก็บริหารให้ดีใช้ตามสถาณภาพไป
เพราะเขาเชื่อว่าความสุขนั้นมันเกิดขึ้นอยู่ในใจ
แต่สำหรับผมก็เห็นว่าคนที่สองนั้นเขาได้รับความสุขง่ายกว่าคนที่หนึ่ง
ซึ่งทั้งสองมีจุดหมายปลายทางเหมือนกันคือความสุข
แต่การเดินไปถึงเป้าหมายของแต่ละคนต่างกัน ใช้เวลาต่างกัน
และใช้พลังงานต่างกันครับ
ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นชัดหน่อยก็คือเราจะเห็นนักบวช
และนักธุรกิจผู้ซึ่งประสบความสำเร็จและมีความสุขเหมือนกัน แต่ทั้ง2คนมีความเชื่อและการเดินไปสู่ความสุขไม่เหมือนกัน
แต่ก็ลงเอยด้วยการมีความสุขเหมือนกันเท่านั้นเอง
แต่สำหรับปัจจุบันซึ่งเราเป็นคนธรรมดาและอยู่ในโลกปัจจุบันเราจะทำอย่างไรให้มีความสุขได้ละ?
สำหรับผมแล้วการที่เราจะเป็นผู้ที่มีความสุขได้
เราต้องมีทั้งความเชื่อแบบตะวันตกและตะวันออกรวมกัน
คือมีความสุขที่สามารถจับต้องได้
และมีความสุขที่เกิดขึ้นในใจที่ไม่สามารถจับต้องได้ ซึ่งก็คือมีทั้งรูปธรรม
และนามธรรม รวมกันนั่นเอง คือเราก็มีเงิน/ทุน
มากพอเพียงสำหรับเลี้ยงดูตัวเองและคนอื่นๆบ้างจำนวนหนึ่ง (ไม่ใช่ไม่มีเลย)
และก็มีความรู้สึกพอใจอยู่ใน แค่นี้ผมว่าก็สุดยอดแล้ว
เพราะเราไม่ได้สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง เราก็จะเป็นคนธรรมดาที่มีความสุขได้ครับ
แต่ที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดเป็นเพียงแค่น้ำพริกปลาทูเท่านั้นนะครับ
เพราะทั้ง 3 เรื่องนอกจากจะเป็นสิ่งที่ทุกคนปราถณาจะได้มาครอบครองแล้ว
และยังต้องลงทุนทั้งแรงกายแรงใจไปด้วย
ยิ่งถ้าเป็นการไปเชื่อแบบทางตะวันตกแบบสุดโต่งว่าต้องมีเงินมากๆอย่างเดียวเท่านั้นถึงจะทำให้มีความสุข
ซึ่งอย่างนั้นผมเห็นว่าไม่คุ้มแถมขาดทุนอีกต่างหาก ฉะนั้นสำหรับผมยังเห็นว่ามีอีก 3
สิ่งที่สำคัญกว่า เงิน เวลา และสุขภาพอีกตั้งมากมายที่จะทำให้คนเรามีความสุขไปตลอดครับ
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สาระสำคัญระดับสุดยอดในการเป็นมนุษย์บนโลกเลยนะครับ
พอจะนึกออกรึยังครับ?......ติ๊ก ต่อกๆๆ....
ผมขอเฉลยเลยละกันนะครับว่า
3
สิ่งมันคืออะไร ซึ่งมันก็คือ ไตรสิกขา (The Threefold
Training) ในพุทธศานาใกล้ๆตัวเรานี่เอง ซึ่งประกอบด้วย
1.ศีล(ปกติ&การไม่ทำชั่ว)
2.สมาธิ(การมีใจที่ตั้งมั่น+มีความสุข)
3.ปัญญา(เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เข้าใจชีวิต)
3
ข้อนี้นั้นเป็นข้อปฏิบัติของมนุษย์ที่จะทำให้มนุษย์ธรรมดามีความสุขเหนือกว่าความสุขแบบธรรมดา
และสามารถทำควบคู่กับการดำเนินชีวิตได้ทุกเมื่อทุกเวลา ไม่จำกัดกาล
ดั่งเจ้าชายสิทธัตถะได้กลายมาเป็นพระพุทธเจ้าที่เรากราบไว้นับถือมาทุกวันนี้
เพราะท่านได้พบวิธีปฏิบัติเพื่อให้มนุษย์มีความสุขนิรันดร์และหลุดพ้นจากสิ่งต่างทั้งหลายทั้งปวงได้
(ถ้าใครมีบุญมากก็ลองไปศึกษา 3 ข้อนี้ให้เข้าใจและนำไปปฏิบัติให้เห็นชัด จะพบว่า 3 สิ่งนี้นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดไม่เฉพาะในโลก
แต่สำคัญมากที่สุดในสามโลก) ลองไปศึกษาดูนะครับ
และผมก็เห็นว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม
เราไม่สามารถปฏิเสธ
หรือไม่มีใครหนีพ้นความจริงเรื่องของการที่เราทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายครับ มันเป็นกฏธรรมชาติ
ว่ามันคือ อนิจจัง (Impermanent) ไม่เที่ยง
ไม่มีใครเป็นเจ้าของมัน เพราะมันเป็นเพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันมาเท่านั้น
ในที่สุดมันก็เสื่อมสลายไป ฉนั้นจะเห็นเลยว่าคนทุกคนมีเวลาจำกัด เรื่องของเงิน
เวลา สุขภาพในเรื่อง 3 สิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จึงเรื่องสำคัญระดับรองลงมาเลยนะครับ
ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคนทั้งโลกมีศีลทุกคน คือทุกคนไม่ทำชั่ว
และมุ่งทำดีต่อกันและกัน เมตตาต่อกัน ทุกคนมีความสุข
อย่างน้อยๆสังคมบนโลกเราก็จะมีความสุขสันติ ไม่มีสงครามจะฆ่าจะแกงกันครับ
ส่วนถ้าบุคคลไหนที่ถือ 3 ข้อนี้เป็นวิถีชีวิตปฏิบัติ
อย่างน้อยๆเขาก็ไม่เบียดเบียนใคร และมีโอกาสจะพบแต่โชคดีต่อชีวิตเขา จริงไหมครับ?
และถ้าใครเข้าใจหลักปฏิบัติเรื่อง
ศีล สมาธิ ปัญญา ดีแล้ว
และเขานำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอย่างสม่ำเสมอผมเชื่อและศัทธาว่าเขาผู้นั้นมีโอกาสมากที่จะได้รับความสุขแน่นอนครับ(ผมก็ยังไม่เจอ
แต่พระเก่งๆก็สอนผมมาอย่างนี้ครับ) ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ผมจึงนำมาเป็นวิถีใช้ชีวิตในแบบผมด้วยนะครับ
เพราะเมื่อผมเชื่อและศัทธาในวิถีชีวิตแบบนี้ผมก็เชื่อว่าผมได้เดินทางถูกต้องที่จะได้พบความสุขอย่างนิรันด์อย่างแน่นอนครับ
แล้วเพื่อนๆว่ามีวิถีชีวิตแบบไหนที่ทำให้คนมีใจสะอาด บริสุทธิ์
และสุขได้มากกว่าข้อปฏิบัติที่สำคัญที่สุดอย่าง 3 ข้อนี้ละครับ? ขอให้โชคดีในการใช้ชีวิตครับ....

ขอให้เป็นวันที่ดี,
ตอบลบฉัน voorhees philip ฉันต้องการลงทุนในธุรกิจของคุณด้วยความสุจริตฉันมีเงินทุนสำหรับการลงทุนที่ทำกำไรฉันยังเสนอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีต่ำมากถึง 3% ภายในระยะเวลาการชำระคืนหนึ่งปี เป็นส่วนหนึ่งของโลก
คุณต้องการเครดิตที่อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีสำหรับจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณต้องการเงินทุนหรือการเป็นหุ้นส่วนหุ้น 50/50% เป็นระยะเวลา 1 ถึง 10 ปีหรือไม่? ฉันต้องการทราบทางเลือกของคุณเพื่อให้เราสามารถดำเนินการเจรจาได้จำนวนเงินทุนสูงสุดคือ $ 100million USD
ติดต่อ EMAIL: info@voorhinvestcorp.com
URL ของเว็บไซต์: http://voorhinvestcorp.com/
WhatsApp: +1 4704068043
LINE ID: philipvoor
อีเมล: voorheesphilip@gmail.com
ขอบคุณ
VOORHEES PHILIP