ไม่ว่าใครๆก็ตามก็อยากมีชีวิตสบายๆ
ชิวๆ เพื่อนๆว่าไหมครับ?
(แม้กระทั่งตัวผมเอง) ฉะนั้นเมื่อมนุษย์ทุกคนอยากสบายพวกเขาก็คิดหาทางที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องลำบาก
พวกเขาจึงสร้างเทคโนโลยี ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเงิน ระบบขนส่ง
หรือระบบอื่นๆต่างๆมากมายขึ้นมาบนโลก
จึงทำให้หลายชีวิตของมนุษย์ที่มันเป็นปกติของมันอยู่แล้วนั้นมันมีซับซ้อนมากขึ้น แต่ในความซับซ้อนที่มากขึ้นนั้นพวกเขาก็ได้ความสะดวกสบายมากขึ้นจริงๆเพราะความก้าวหน้าเทคโนโลยี
และวิทยาศาสตร์... เช่น ถ้าพวกเขาต้องการกินอาหารอร่อยๆและมีประโยชน์ต่อร่างกาย
พวกเขาก็ควบคุมการผลิตเฉพาะอาหารที่ต้องการจะกิน
หรือว่าถ้าอยากจะเดินทางไปสำรวจบนพื้นที่บางแห่งของโลกพวกเขาก็สร้างยานพาหนะที่ทำให้เขาไปยังที่หมายตามใจปราถณา
หรือแม้กระทั่งถ้าพวกเขาอยากจะสื่อสารกับผู้อื่นในโลกได้พวกเขาก็สร้างเทคโนโลยีที่ทำให้เขาได้ทำได้สมใจปราถณา
ซึ่งมนุษย์ทำได้ทุกอย่างตามที่ใจเขาปราถณานั่นแหละ แต่จะเห็นไหมว่า
มนุษย์นั้นไม่เคยพอสักที
เพราะตั้งแต่ในยุคโบราณจนถึงปัจจุบันมนุษย์ก็ยังไม่เคยหยุดพัฒนาเทคโนโลยีเลย....
เพราะอะไร?
ก็เพราะความต้องการของมนุษย์ไม่เคยสิ้นสุด ไม่ว่าจะเกิดในยุคไหน ประเทศไหน
ใช้ภาษาไหน คำว่า "ความต้องการ"
หรือความอยาก มันก็คือสิ่งเดียวกัน
ในเมื่อความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุด การพัฒนาเทคโนโลยี
หรือนวัตกรรมต่างๆจึงได้เกิดขึ้นไหม่อยู่เรื่อยๆตามพัฒนาการความต้องการของมนุษย์นั่นเอง แต่การที่มนุษย์จะได้รับความสะดวกสบายจากสินค้าและบริการนั้นมนุษย์จะต้องเอาบางอย่างไปแลกมา
และปัจจุบันนี้เขาเอาอะไรไปแลกกันละ?
ในช่วงที่เริ่มมีระบบเงินตราขึ้นมาบนโลก
และสิ่งที่เรียกว่า "เงิน"
กลายมาเป็นสิ่งที่นิยมนำมาถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการตามที่มนุษย์ต้องการ
ดังนั้นการที่มนุษย์คนนึงจะได้รับความสะดวกสบายจากสินค้าบริการนั้น
คนคนนั้นจะต้องมี "เงิน" ไปแลกมา!! .....แต่ลองคิดดูสิครับว่า สมมุติว่าถ้าคนคนนึงต้องการได้รับความสะดวก
สบายจากสินค้าและบริการที่รวดเร็ว ทันใจตลอดเวลา
เขาจะต้องมีเงินมากเท่าไหร่ที่จะต้องให้พอกับราคาของสินค้าและบริการนั้นจะที่จะบำรุง
บำเรอเขาไปตลอดชีวิตได้? ซึ่งมองเผินๆแล้วดูเป็นไปได้ยาก
เพราะมนุษย์มีเวลาจำกัดที่ 24 ชม.ใน 1 วัน และร่างกายของมนุษย์ก็ต้องการพักผ่อนอีกอย่างน้อยประมาณ 6 ชม. แล้วพวกเขาจะเอาแรง และเวลาที่ไหนไปหาเงินละ? ดูเหมือนจะป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้ครับ
เขาก็ใช้เครื่องทุ่นแรงยังไงละครับ เพราะเมื่อเขาต้องการเงิน
เขาก็แค่สร้างเครื่องผลิตเงินขึ้นมาไง
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้คล้ายๆกับที่นักวิทยาศาสตร์สร้างนวัตรกกรมไหม่ขึ้นมานั่นแหละ
แต่ไม่จำเป็นต้องนักวิทยาศาสต์หรอก
เพราะคนทั่วๆไปก็สามารถมีเครื่องผลิตเงินนี้ที่จะผลิตเงินออกมาให้เขาไปซื้อสินค้าและบริการได้ตามใจปราถณาครับ
....ยังไงมาดูกัน?
ช่วงนี้ขอสาธยายเรื่องเครื่องผลิตเงินเพิ่มเติมอีกสักหน่อยนะครับ
.......เอาละนะ ---ตอนที่ก่อนจะมีการปฏิวัติระบบเงินตรานั้น
การที่แต่ละประเทศในโลกนั้นจะพิมพ์เงินหรือผลิตเงินออกมาได้
ประเทศนั้นๆจะต้องมีทองคำสำรองไว้เสียก่อน แต่เมื่อช่วงหลังสงครมโลกครั้งที่ 1 ประเทศอเมริกาได้ขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก เขาก็มายกเลิกระบบเงินตราด้วยวิธีนี้เอาดื้อๆ
คือปกติจะพิมพ์เงินออกมาใช้ได้จะต้องมีทองคำสำรองไว้ก่อน
แต่อเมริกาไม่ต้องมีทองคำก็พิมพ์เงินได้เลย แต่ต้องเป็นอเมริกาประเทศเดียวเท่านั้นนะ
ประเทศอื่นต้องมีทองคำสำรองไว้เหมือนเดิม
ซึ่งถ้าประเทศไหนมีปัญหาให้ไปคุยคุยกับอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกาว่าเขาจะยอมไหม(อเมริกาแมร่งเก๋ามาก)
ปัจจุบันจึงทำให้อเมริกาเป็นผู้ควบคุมระบบเงินตราของโลก
เพราะเขาก็มีเครื่องผลิตเงินเป็นของตัวเอง ...แล้วยังไง? อเมริกาก็สบายนะสิครับ
สามารถใช้สินค้าและบริการจากทั่วโลกได้นะสิครับโดยไม่ต้องออกแรงอะไรมากครับ
แค่พิมพ์เงินออกมาใช้มันส์อย่างเดียว (แต่พวกโรงงานนรกอย่างฝั่งเอเชีย เช่น จีน
ไทย ฯลฯ
ที่ต้องทำงานหนักได้ค่าแรงขั้นต่ำๆ(ติดดิน)ก็ยอมผลิตสินค้าดีๆไปให้
เพราะอำนาจของเงินทุน) แต่ในการพิมพ์เงินของอเมริกาออกมาแต่ละครั้งนั้นอเมริกาเขาจะเป็นหนี้
เพราะเอาหนี้ไปขายให้ประเทศอื่นเป็นคนแบกแทน
โดยการขายพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้ (ซึ่งปัจจุบันไม่รู้ว่าอเมริกาจะใช้ยังไงไหวเพราะมันเยอะเหลือเกิน
และแต่ละครั้งที่พิมพ์เงินอเมริกาจะประกาศให้ทั้งโลกรับรู้ว่าเป็นหนี้ แต่ไม่มีใครกล้าหือทวง
เพราะอำนาจทางการทหารและอาวุธเขายังมีอยู่ และที่สำคัญเขาคุมระบบการเงินโลกอยู่
เพราะถ้าอเมริกาล่มสลายหลายประเทศก็ล้มตามเป็นโดมินโน
ปัจจุบันจึงต้องประครองอเมริกาไว้)
ในการพิมพ์เงินออกมานั้นแต่ละครั้งมีผลมากต่อราคาสินค้าและราคาสินทรัพย์ต่างๆในโลก
ดังนั้นก่อนที่จะพิมพ์เงินออกมานั้นประธานธนาคารกลางของอเมริกาเขาจะออกมาประกาศก่อนล่วงหน้าว่า
"..ฉันจะพิมพ์เงินเพิ่มแล้วนะ เอ้า! ข้าวของต่างๆเตรียมขึ้นราคาได้เลย !!! " ...ทำไมราคาข้าวของขึ้นละ?
ก็เพราะว่าถ้าสมุมติเงินทั้งโลกมีอยู่ 10 ล้านหน่วย ซื้อข้าวได้ 10 ล้านตันที่ราคาตันละ 1 หน่วย แต่อยู่ดีๆ
ใครไม่รู้ เอาเงินมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็เอาเข้ามาเพิ่มจากเดิม 10 ล้านหน่วย กลายเป็น 20 ล้านหน่วย
(เพิ่มขึ้นเท่าตัวดื้อๆ) แต่ข้าวสามารถผลิตได้ ปริมาณ 10 ล้านตันอยู่เท่าเดิม จะทำอย่างไรละครับเพื่อให้มูลค่ามันเท่ากัน ง่ายๆก็คือ ราคาข้าวก็เพิ่มขึ้นเป็นตันละ 2
บาทสิครับ
ซึ่งภาวะที่ข้าวของขึ้นราคาอย่างนี้เขาเรียกว่า ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ซึ่งจะส่งผลให้คนจนจนลงไปอีก ส่วนคนรวยก็รวยขึ้นไปอีก
แต่คำถามที่สำคัญคือว่าถ้าราคาข้าวของแพงขึ้นแล้วใครได้ประโยชน์ คำตอบก็คือก็คนขึ้นราคาข้าวของนะสิครับ
....แล้วใครละ?
ก็คือพ่อค้าหรือพวกนักธุรกิจหัวใสทั้งหลายนะสิ
เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างนี้ถ้ามนุษย์ธรรมดาๆคนนึง(สมมุติว่าเขาทำงานในโรงงาน)
เขามีทั้งเวลาและร่างกายที่จำกัด และแต่รับค่าแรงขั้นต่ำ เมื่อราคาข้าวของขึ้นไป
แต่ค่าแรงพวกเขาไม่ขึ้นตาม พวกเขาจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อข้าวของที่แพงขึ้นไหวละ
จริงมั้ยครับ? --ใช่ครับ! ...ยาก!! เพราะพวกเขาไม่สามารถพิมพ์เงินเองได้ด้วยยังไงละครับ แต่ !!!!!!! แต่เดี๋ยวก่อนๆๆๆๆ
แต่พวกเขาทุกคนก็สามารถสร้างเครื่องผลิตเงินได้เองเช่นกันนะ .......ทำอย่างไรละ?!!
อย่างที่พวกเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด
และมนุษย์ต้องการความสะดวกสบายตลอดเวลา พวกเขาจึงมีการบริโภคตลอดเวลา
ดันนั้นเครื่องผลิตเงินที่ทุกคนจะสร้างได้คือ
ต้องพยายามผันตัวจากเป็นคนทำงานในโรงงานธรรมดา(ลูกจ้าง)มาเป็นผู้สร้างสินค้าและบริการขายให้คนอื่น ซึ่งเขาเรียกว่า "พ่อค้า" หรือเป็นการเปลี่ยนจากการเป็นผู้ใช้สินค้าและบริการมาเป็นผู้จำหน่ายสินค้าและบริการแทน
แค่นี้ก็เป็นการทุ่นแรงได้เป็นอย่างดีแล้วละครับ
เพราะเป็นการใช้ประโยชน์จากความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของคน และการเป็นพ่อค้าหรือเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น
เราสามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมากๆ และขายได้จำนวนมากๆ และได้กำไรมากๆ
จากการใช้เทคโนโลยีและวิธีบริหารต้นทุนที่ดีนั่นเอง
แค่นี้เงินก็ไหลเข้ามาทีละมากๆแล้วละครับ
ซึ่งมันแตกต่างจากการที่จะใช้แรงและเวลาของตัวเองไปทำงานรับค่าแรงขั้นต่ำอย่างเดียว
ซึ่งก็เข้าใจกันแล้วว่าแรงและเวลามีอยู่อย่างจำกัด
เพราะถ้าใช้แรงและเวลาไปทำอย่างนั้นก็จะยากมากๆที่จะทำเงินเยอะๆได้ครับ
ดังนั้นถ้าเรามีธุรกิจแล้ว
ยิ่งถ้าธุรกิจของเราขายสินค้าและบริการที่มีคนอื่นต้องการตลอดเวลา
แค่นี้เงินก็ไหลมาไม่หยุดแล้วละครับ สรุปว่า ธุรกิจ ก็คือเครื่องผลิตเงิน
และเป็นเครื่องทุ่นแรงให้กับคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาได้ดีอีกอย่างนึงเลยนะครับ
สมัยนี้นอกจากเครื่องผลิตเงิน
ที่ผมเรียกว่า "ธุรกิจ" นั้นแล้วก็มีเครื่องผลิตเงินในหลายรูปแบบและง่ายกว่าการที่เราจะมานั่งสร้างธุรกิจเองแล้วละครับ
เพราะการสร้างธุรกิจด้วยตัวเองนั้นมันก็ไม่ง่ายเลย และมันมีความเสี่ยง
แล้วเราจะเป็นเจ้าของธุรกิจได้อย่างไรละ? ซึ่งก็คือ 1.รับมรดกตระกูลมา 2.สร้างธุกิจขึ้นมาเอง
3.ไปซื้อแฟนไชส์เขามา และ4.เข้าร่วมเป็นเจ้าของ ซึ่งวิธีสุดท้ายนี้ง่ายและสะดวกมากในปัจจุบัน
และไม่ต้องใช้แรงงานและเวลาในการดูแลกิจการมากนัก
ซึ่งวิธีการก็คือการเข้าไปซื้อ สิ่งที่เรียกว่า "หุ้น"
ซึ่งเป็นสัดส่วนการเป็นเจ้าของร่วมในกิจการของเขาก็ได้
และถ้าเราซื้อหุ้นธุรกิจ หรือกิจการที่ดี หรือที่เราได้สนใจจะเป็นเจ้าของแล้ว
และเห็นว่าเป็นธุรกิจนั้นมั่นคง ที่สร้างกระแสเงินสดในรูปแบบของปันผลมาให้เราใช้จ่ายสม่ำเสมอ
เราก็เข้าไปร่วมลงทุนกับเขาและเงินรับปันผลอย่างสม่ำเสมอ
และเราไม่ต้องใช้แรง+เวลาของเราออกไปทำงานหาเงินอีก
เพียงแต่ให้ธุรกิจทำเงินให้เราตลอดเวลา
และถ้าใครมีเครื่องผลิตเงินแล้วเขาก็ไม่ต้องทำงานหาเงินอีกต่อไป ฉะนั้น "ธุรกิจ"
นี่ก็เรียกว่าเป็นเครื่องผลิตเงินได้แล้วละครับ
ลองศึกษาเรื่องเครื่องผลิตเงินนี้เพิ่มเติมนะครับเพราะมันมีหลายรูปแบบ
และบางทีมันก็เปลี่ยนตามนวัตกรรมหรือยุคสมัยด้วยครับ







ขอให้เป็นวันที่ดี,
ตอบลบฉัน voorhees philip ฉันต้องการลงทุนในธุรกิจของคุณด้วยความสุจริตฉันมีเงินทุนสำหรับการลงทุนที่ทำกำไรฉันยังเสนอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีต่ำมากถึง 3% ภายในระยะเวลาการชำระคืนหนึ่งปี เป็นส่วนหนึ่งของโลก
คุณต้องการเครดิตที่อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีสำหรับจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณต้องการเงินทุนหรือการเป็นหุ้นส่วนหุ้น 50/50% เป็นระยะเวลา 1 ถึง 10 ปีหรือไม่? ฉันต้องการทราบทางเลือกของคุณเพื่อให้เราสามารถดำเนินการเจรจาได้จำนวนเงินทุนสูงสุดคือ $ 100million USD
ติดต่อ EMAIL: info@voorhinvestcorp.com
URL ของเว็บไซต์: http://voorhinvestcorp.com/
WhatsApp: +1 4704068043
LINE ID: philipvoor
อีเมล: voorheesphilip@gmail.com
ขอบคุณ
VOORHEES PHILIP