มารู้จักกัน คลิ๊กเลย!

มารู้จักกัน คลิ๊กเลย!
มารู้จักกัน คลิ๊กเลย!

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

นักธุรกิจหนุ่มผู้ตามหาความว่างเปล่า


นิทานThe fisherman and the businessman 

นักธุรกิจคนหนึ่งนั่งอยู่บนชายหาดในหมู่บ้านเล็กๆที่บราซิล
ขณะที่เขานั่งอยู่ เขาเห็นชาวประมงคนหนึ่งกำลังพายเรือลำเล็กเข้าฝั่งหลังจากจับปลาใหญ่ได้พอสมควร
นักธุรกิจประทับใจและถามชาวประมงว่า “คุณใช้เวลาแค่ไหนกว่าจะจับปลาได้ขนาดนี้?”
ชาวประมงตอบว่า “อ๋อ แป๊บเดียวเอง”
“งั้นทำไมคุณไม่อยู่ต่อแล้วจับให้ได้มากกว่านี้ล่ะ?” นักธุรกิจประหลาดใจ
“แค่นี้ก็พอกินกันทั้งครอบครัวแล้ว” ชาวประมงพูด
นักธุรกิจจึงถามต่อว่า “แล้วเวลาที่เหลือคุณทำอะไรล่ะ?”
ชาวประมงตอบว่า “ ส่วนใหญ่ผมตื่นแต่เช้า ออกทะเลไปจับปลาสองสามตัว แล้วก็กลับไปเล่นกับลูกๆ พอตกบ่ายผมกับภรรยาก็หลับพักผ่อน พอถึงตอนเย็นผมก็ไปดื่มกับเพื่อนในหมู่บ้าน เราเล่นกีต้าร์ ร้องเพลงและเต้นรำตลอดทั้งคืน”
นักธุรกิจจึงให้คำแนะนำแก่ชาวประมง
“ผมจบปริญญาเอกสาขาบริหารธุรกิจ ผมสามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จมากกว่านี้ได้ ตั้งแต่นี้ไปคุณควรจะออกทะเลให้นานขึ้นและพยายามจับปลาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อคุณสะสมเงินได้มากพอคุณก็จะสามารถซื้อเรือลำใหญ่ขึ้นและจับปลาได้มากกว่าเดิม ไม่นานคุณก็จะมีเงินซื้อเรือมากขึ้น ตั้งบริษัทของคุณเอง สร้างโรงงานผลิตอาหารกระป๋อง และตั้งเครือข่ายจัดจำหน่าย ถึงตอนนั้นคุณก็ออกจากหมู่บ้านนี้ไปอยู่ซานเปาโลแล้วตั้งสำนักงานใหญ่ควบคุมสาขาอื่นๆ ของคุณได้”
ชาวประมงถามต่อ “แล้วหลังจากนั้นละ?”
นักธุรกิจหัวเราะอย่างเบิกบาน “หลังจากนั้นคุณก็จะได้อยู่อย่างพระราชาในบ้านของคุณเอง แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คุณก็เปิดตัวขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แล้วคุณก็จะรวย”
ชาวประมงถามว่า “แล้วหลังจากนั้นละ?”
นักธุรกิจพูดว่า “หลังจากนั้นคุณก็ไม่ต้องทำงาน แล้วย้ายไปอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านประมง ตื่นแต่เช้าไปตกปลาสองสามตัว กลับบ้านมาเล่นกับลูก นอนพักตอนบ่ายกับภรรยา แล้วพอตกเย็นคุณก็จะได้ไปดื่มกับเพื่อน เล่นกีต้าร์ ร้องเพลง และเต้นรำตลอดทั้งคืน”
ชาวประมงงุนงง “ผมกำลังทำแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”



      ก็มานั่งคิดว่าในที่สุดแล้วนี่อะนะคนเรา จะไปสู่จุดสูงสุดของอะไรก็ตามมันก้หนีไม่พ้นเรื่องของความสุข หรือความอยากส่วนตนอยู่ดี เพราะมันเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตก้ว่าได้ บางคนเดินทางชีวิตไปตามปมด้อยของตนเอง ไม่เคยมีอะไร ไม่เคยมีประสบการณ์ในอะไร เขาก้จะพยายามหาสิ่งที่เป็นวัตถุภายนอกบ้าง หรือการยอมรับต่างๆบ้าง เพื่อมาตอบสนองความอยากได้ อยากมี หรือไม่อยากได้ไม่อยากมีของตนเอง พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและดูเหมือนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะความอยากเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง มันเป็นอวิชา หรือความโง่ ของคนทุกคน มีการเกิดก็เพราะความไม่รู้ หรืออวิชานี่แหละ ที่คิดว่าดี เพราะที่จริงการเกิดมาคือเกิดมาเพื่อ แก่ เจ็บ และก็ตาย เป็นทุกข์ ถ้าไม่มีความอยากเกิด ไม่มีอวิชชา ก็ไม่มีการเกิดอีก เป็นสุขที่แท้จริง หรือที่พุทธศาสนา หลวงปู่ หรือพระอาจารย์สอนไว้ว่า"นิพพาน"นั่นแหละคือสิ่งที่จริงที่สุด สุขที่สุด และอิสรภาพที่แท้จริงที่สุด

     ฉะนั้นนิทานเรื่องนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าการไปถึงจุดสูงที่สุด สุดท้ายมันก็ย้อนเข้ามามองต้นเหตุของทุกอย่างนั่นคือความอยากของตัวเอง เพราะอย่างที่นักธุรกิจหนุ่มต้องการคือเป็นที่สุดในทางด้านการเงิน และความอยากที่จะปลอดภัยอันเป็นที่สุดในด้านการเงินนั้น และสุดท้ายมันเปรียบเสมือนว่าเขาได้รับแค่ความว่างเปล่า เพราะเขาตามหาความว่างเปล่า จึงดูเหมือนว่าเขาเหนื่อยฟรี!!   ..เพราะอะไร ? ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าความสุขคือความไร้ความกังวล ความไม่ทุกข์ หรือการมีความปราถณาน้อยเท่านั้นเอง และที่สำคัญอย่างที่ท่านพระพุทธธาตุกล่าวไว้ว่าความสุขของคนนั้นคือ "ความว่าง" ฉะนั้นสุดท้ายแล้วนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงตามหาความว่างอย่างนั้นหรือ??  ฮ่าๆๆ

     จริงๆแล้วคนเราปลอดภัยได้จริงๆนะเหรอ ....เป็นไปไม่ได้!! เพราะเจ้าชายองค์หนึ่งจากที่อยู่ในเมืองอย่างมีความสุขมากๆ มีทุกอย่างสามารถสั่งได้ตามใจปราถนา แต่ทำไมถึงปราถนาที่จะค้นพบความจริงที่ว่า ทำไมเรา ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ไม่ใช่เป็นเพราะท่านเห็นว่ามนุษย์เราทุกคนไม่มีความปลอดภัยจริงๆ หรือ? เราทุกคนก็รู้ว่าเราอายุไขสั้นมาก และโรคภัยไข้เจ็บก็วนเวียนอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา และเมื่อมันมาถึงแล้วมันยากที่จะจัดการกับมัน เพราะถ้าหนักจริงๆ เขาก็แค่ได้รักการเยียวอย่างดี แต่ก็แค่นั้น มันก็แค่ชั่วคราว สุดท้ายมันก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายอยู่ดี ห้ามไม่ได้

    ฉะนั้นความปลอดภัยอย่างที่นักธุรกิจหนุ่มหานั้น เป็นเพียงแค่การหาความปลอดภัยมั่นคงทางการเงินซึ่งเขาคิดว่าเขาจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเมื่อความเสื่อมเรื่อง ความแก่ ความเจ็บ และความตาย มาถึงตัวเขาและคนที่เขารัก แต่มันได้แค่เพียงเท่านั้นแหละครับ มันไม่นานมากหรอกครับ  5-10 ปีเท่านั้นแหละ และส่วนใหญ่จะน้อยกว่านั้นและไม่แน่นอน อย่าง Steve Job รวยมาก ฉลาดมาก ก็ยังรักษาชีวิตเขาได้แค่เพียงประมาณ 7 ปีเท่านั้นเองหลังจากได้รู้ว่าเป็นมะเร็ง หรือไมเคิล แจ็คสันตายตอนอายุ 50 ......และการเอาเงินที่หามาได้มาปรนเปรอ หรือเพื่อมาสู้กับความอยาก หรือมารักษาสภาพความเสื่อมเหล่านี้ มันดูเหมือนไม่ make sense เท่าไหร่เลย เพราะความจริงแท้มันน่ากลัวจริงๆ ฉะนั้นโอวาทสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ชาวโลกฟังจึงเป็นเรื่องของความไม่ประมาท ถ้าแค่ไม่ประมาทกับความอยาก ความหลง เราจะใช้ชีวิตที่แท้จริง จริงๆ และจะไม่ใปยอมเหนื่อยทนกับอะไรนานๆ เพื่ออะไรบางอย่าง เพราะปกติชีวิตคนเรามันทุกข์อยู่แล้ว อย่าหลงไปเพิ่มมันขึ้นไปอีก ...

     ผมจึงสงสัยว่านักธุรกิจคงไม่น่าจะเข้าใจคำตอบที่แท้จริงมากกว่าลุงนักตกปลาคนนั้นหรอกนะครับ เพราะลุงแกแก่กว่า แกผ่านความเป็นหนุ่มมาก่อนจนถึงวัยที่พร้อมจะเข้าโลงได้แล้ว และเขาเห็นแล้วว่า ชีวิตมันต้องขนาดนั้นเลยเหรอ?? ต้องอย่างโน้นอย่างนี้? ชีวิตวุ่นวาย เยอะแยะไปหมด เพื่อแค่ความว่างเปล่านี่อะนะ?!!
   
     ความความเป็นธรรมดาของชีวิตและการอยู่ด้วยปัญญาที่ไม่มีความกังวลใจ และเป็นสุข  นี่แหละที่เขาว่า "สูงสุดจะกลับคืนสู่สามัญ" แต่ลุงแกนั้นรู้จุดสูงสุดว่าเป็นอย่างไร และอยู่อย่างสามัญ ชีวิตจึงไม่วุ่นอย่างนักธุรกิจหนุ่มคนนั้น (ว่าตามเนื้อเรื่องอะนะ)

.....มารู้ มาทำความเข้าใจความสูงสุดของการเงินและกลับมาอยู่อย่าสามัญที่สมดุลและเจ๋งๆดีกว่าครับ...

Toto Sns
28/1/2015  [10:25]








วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

SET ก่อนเปิดตลาดวันจันที่ 26 ม.ค 2015


    SET ก่อนเปิดตลาด มีสัญญานซื้อชัดเจนจากระบบ EMA10>EMA50 และสัญญานจาก Momentum RSI>50% ที่ Scale  20 วันทำการ ซึ่งหมายถึงใช้ 20 วันหรือประมาณ 1 เดือนมาคำนวนหาแรงของตลาด SET ว่าราคามีแรงจะไปทางไหน และตอนนี้ก็บอกแล้วว่าขึ้นมากลงแน่นอน แต่สัญญานนี้จะช้าหน่อย แต่การทดสอบย้อนหลัง (Backtest) ดูแล้วผลตอบแทนก็ถือว่าใช้ได้ (แต่จำตัวเลขเป๊ะๆไม่ได้)

    วันก่อนมี Gap เปิดกระโดดด้วย ถือว่าช่วงนี้คนกำลังกล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น เหมือนกับว่าหลายคนดูตลาดอเมริกาเป็น Indicator และรอจังหวะซื้อและพอตลาดอเมริกาขึ้นมา บ้านเราก็ซัดเต็ม!  Sentiment ตลาดอเมริกาจึงมี Pattern คล้ายๆกัน ซึ่งผมคาดว่าถ้าตลาดอเมริกาลับมาทำจุดสูงสุดไหม่อีกครั้งที่ 18,000 จุด ผมก็คาดว่าเศรษฐกิจทางเอเชียที่ขึ้นอยู่กับทวีปอเมริกาและยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งคนที่เรียนทางเศรษฐศษสตร์มาบ้าง หรือตามข่าวมาบ้าง หรือคนรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งพวกเขาให้น้ำหนักการตัดสินใจซื้อขายจากตรงนี้ มันจึงเกิดเป็น Pattern ต่างๆในการเรียนรู้เรื่องของ Technical Analysis และผู้รู้ก็ฟันกำไรตามกันไป
 
   ที่ผมมองผมก็คาดว่าตลาดไทย 1,600 นี่ชิวมากเลย เพราะจากที่ลงแรงกว่า 100 จุดในอาทิตย์เดียวนั้นก็จะตรงกับทฤษฎีของไอสไตน์ เรื่องแรงสะท้อนกลับ และเมื่อมันย่อแรงขนาดนี้ก็มีโอกาสมากกว่า SET จะทะลุ 1,600 จุดได้ และยังไปต่อได้อีกใกล และถ้าถึงตอนนั้นเซียนหุ้นจะออกมาประกาศตัวตามสื่อต่างๆมากมาย ที่เริ่มจากเงินน้อยๆ และกลายเป็นหลายสิบ หลายร้อยล้าน ในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ (แต่ยังไม่ใช่ผม อิอิ) เศรษฐกิจก็จะโตขึ้นประชาชนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ความสมดุลก็จะเกิดขึ้นคือ เงินเฟ้อมันไม่ยอม มันเห็นอะไรๆขึ้ัน มันก็ขึ้นตามเพื่อให้เท่าดัชนีอื่นๆ และพวกพ่อค้านายทุนก็รวยขึ้นๆ ส่วนคนชั้นกลางก็มีเงินใช้อยู่ได้ไม่นานก็กลับมาทุกข์เหมือนเดิม เพราะอำนาจซื้อน้อยลง และระยะห่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างมากขึ้นๆ

   เราจะทำอย่างไรละ? บอกเลยถ้าใครยังไม่รู้จักการลงทุนเป็นระบบ ไม่รู้จักวางแผนการลงทุน ไม่ทำการเทรดเสมือนการลงทุน ไม่มี Portfolio Design ไม่มีนโยบายลงทุน ไม่วางแผนว่าจะซื้อขายตัวไหน ใช้ระบบอะไร ใช้อะไรจัดการ ไม่มีการเตรียมแผนไว้ ผมว่าโอกาสน่าจะหลุดลอยไปเฉยๆได้นะครับ ลองไปทำดูครับ

   เอ้อ....ช่วงนี้ Algorithmic Trading กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดไทยนะครับ ชวนกันไปเรียนรู้ศึกษาเพิ่มเติมกันนะครับ เพราะมันจะเข้ามาจัดการกินรวบนักลงทุนรายย่อยครับ ...ขอให้มีสติ ครับ :)








วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

ผมว่าปัญหา ทางการเงินแก้ได้ด้วยวิธีนี้นะ!!

ผมว่าปัญหา ทางการเงินแก้ได้นะ!! เริ่มต้นด้วยการควบคุมความอยากของตัวเอง! เพราะถ้าเกิดความอยากขึ้น ความอยากมันจะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ ๆ จนในที่สุดต้องจ่ายให้กับความอยากนั้น ! 


ความอยากแต่ละคนไม่เหมือนกัน และมีค่าไม่เท่ากัน มีสิ่งดีที่ปนอยู่กับความอยากไม่เท่ากัน 

ถ้าไม่มีความอยากก้ไม่ต้องจ่าย เมื่อไม่ต้องจ่ายก็มีตังเหลือ เมื่อมีตังเหลือความั่งคั่งก็เพิ่มขึ้น ลงทุนมากขึ้น เมื่อเห็นความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นก็อุ่นใจ เมื่ออุ่นใจก็เริ่มรู้สึกปลอดภัย เมื่อรู้สึกปลอดภัย ความสุขนั้นก็เริ่มเข้ามาหาเรามากขึ้น จิตใจสงบนิ่งมากขึ้น ปัญญาเพิ่มมากขึ้น และถูกปลดปล่อยออกจากเงิน และเป็นอิสระ อีโมติคอน smile

history repeats itself.


เพราะอะไร? 
เพราะการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วนเวียนไปเพราะในตลาดทุนมันมีแต่คนที่อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง วุ่นกันอยู่ในนั้น ไม่เที่ยง ทำให้นักลงทุนรวยจากความไม่เที่ยงนี้ ... มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคนสร้างการเคลื่อนไหวนั้น ไม่ว่า Price จะ Action ไปอย่างไร มันจะเกิดขึ้นอีกเพราะ ในการ Action นั้นมันมีคนได้ตังค์ เสียตังค์ และไม่ได้ไม่เสีย คนที่ตกรถ ติดดอย ขายหมู ปะปนอยู่ในนั้น จึงทำให้เหตุการณ์กลับมาเกิดซ้ำอีก วนไปอีก แต่ลักษณะมันจะไม่เหมือนเดิม 100% แต่มันจะเป็นแบบนั้นคล้ายๆกัน และเป็นอย่างนี้ไปจนไม่มีตลาดนี้อีก.......

ไม่มีแค่คำว่าอิสรภาพนะที่สำคัญ

#1อิสระภาพ คือ คือไม่มีอะไร(ที่เป็นเงิน)เหนี่ยวยึดรั้งไว้ได้

#2ประสิทธิภาพ คือ การใช้ทรัพยากร(เงิน)ในการดำเนินการใดๆ โดยมีสิ่งมุ่งหวังถึงผลสำเร็จ และผลสำเร็จนั้นได้มาโดยการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด และการดำเนินการเป็นไปอย่างประหยัด ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา ทรัพยากร แรงงาน รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่ต้องใช้ในการดำเนินการนั้นๆ ให้เป็นผลสำเร็จ และถูกต้อง

#3คุณภาพ คือ ความเหมาะสมกับการนำ(งิน)ไปใช้งาน การเป็นไปตามความต้องการ หรือสอดคล้องกับข้อกำหนด 

....บางทีเรามักจะไปมองที่ อิสระภาพ+ทางการเงินอย่างเดียว โดยไม่มองคำอื่นเลยว่ามันก็ทำให้เรามีชีวิตที่ดีได้โดยไม่แพ้กับคำว่าอิสระมากนักหรอก





ราคาใครเป็นผู้กำหนด?



            ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าในตลาดทุน ราคาสินทรัพย์  ราคาหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาข้าว ทองคำ น้ำมัน น้ำตาล ข้าวโพด หมู เห็ด เป็ดไก่ .....ฯลฯ  ราคาชีวิต  ราคาค่าแรง...หรืออะไรต่างๆนั้นจริงๆแล้วมันถูกกำหนดโดยมนุษย์หรือคนที่มีความคิดต่างกันคือ



-ความต้องการซื้อ(Demand) และ ความต้องการขาย(Supply)
-ความต้องการอยากเก็บสะสมเอาไว้ และความต้องการอยากจะปล่อยออกไป
-ความต้องการอยากจะถือ และความต้องการอยากจะทิ้งไป
-หรือคนที่โลภ(Greed) และคนที่กลัว(Fear)....



            ดังนั้นราคาของสิ่งต่างๆที่อยู่ในตลาดก็เปรียบเสมือนเป็นการถูกลงมติหรือถูกลงความเห็นอย่างนึง คล้ายๆกับการเลือกตั้งในระบบการปกครอบแบบประชาธิปไตยยังไงยังงั้นเลย ผลคือถ้าฝ่ายไหนชนะราคาก็เป็นไปตามนั้น ต่างกันตรงคาบเวลา เพราะประชาธิปไตยนั้นลงมติกันทุก 4 ปี แต่ในตลาดทุนนั้นลงมติกันทุกวัน ทุกวินาที  ซึ่งถ้าฝ่ายขอซื้อ(Demand) มีประชากรมากกว่า มีแรงอยากได้มากกว่า มีพลังมากกว่าผู้อยากขาย(Supply)  ก็ชนะเลือกตั้งไป ก็ให้ราคานั้นเป็นราคาที่แท้จริงในปัจจุบัน


            ก็ถึงบางอ้อว่าราคาของทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีการขึ้นลงตามความอยากของคนนั่นเอง บางทีพวกเขาทั้งหลายก็อยากได้มากๆ ราคาก็ขึ้นเอาๆ เรียกกันว่าเป็นสภาวะที่ร้อนแรงนี้ว่าเป็นสภาวะกระทิง (Bull Market) หรือบางทีพวกเขาก็กลัววิ่งหนี ทิ้งทุกราคา ราคามันก็ลงเอาๆ เรียกสภาวะนี้ว่า ภาวะหมี (Bear Market) หรือบางครั้งอารมณ์เขานิ่งๆ ราคามันก็ไม่ไปไหนอยู่ที่เดิม มันจึงเกิดมีทฤษฎีของ Dow และ Elliot wave theory ขึ้นและตรงกับความจริงพุทธศาสนาที่ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามเหตุปัจจัย




            ฉนั้นราคามันเลยขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาเป็นไปตามอารมณ์ของคน แม้กระทั่งราคาชีวิตของคนเรา ซึ่งถ้าวัดตามความสามารถในการสร้างรายได้ มันก็ขึ้นลงตามราคาของปัจจัยอื่นๆด้วย อย่างเช่นราคาน้ำมันขึ้น บุคคลนั้นทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ก็สามารถได้โบนัส คอมมิสชั่นมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น

             ดังนั้นถ้าใครรู้ว่าคนกำลังจะโลภ อยากได้มากๆในสินค้าอะไร หรือกลัวมากๆในสินค้าอะไร หรืออะไรเป็นเทรนด ก็เข้าไปเกร็งกำไรก็สามารถรวยได้จากการขึ้นๆลงๆของราคาได้นั่นเอง
            โดยธรรมชาติแล้วราคาของสิ่งต่างๆมันก็ส่งผลต่อกันและกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เช่น ถ้าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้น  อย่างเช่นพวกน้ำมัน น้ำตาล ข้าวโพด ก็ทำให้พ่อค้าคนกลางผู้ตุนสินค้าราคาถูกกว่าไว้ก่อนหน้านี้ได้ประโยชน์ได้กำไรมากขึ้น  แต่มันก็ส่งผลทำให้ผู้บริโภคแบกภาระหนักมากขึ้น เพราะต้องจ่ายแพงขึ้น และเมื่อพวกเขาจ่ายแพงขึ้น จากความต้องการซื้อปริมาณเท่าเดิมก็ซื้อน้อยลงเรื่อยๆ และถ้าเป็นอย่างนี้ไปได้นานๆ ของก็ขายยากขึ้นๆ เศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลออกมาประกาศสู้กับราคาข้าวของในตลาด รัฐบาลก็อาจจะไปประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้พ่อค้าคนกลางจ้างงานมากขึ้น เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคให้หันมาจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น มันส่งผลกันระหว่างคือนักลงทุน พ่อค้า และคนทำงานทั่วไป และรัฐบาล จึงตรงกับวลีในพุทธศานาที่ว่า "เด็ดดอกหญ้า สะเทือนถึงดวงดาว" นั่นเอง







วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

กล่องเล็กๆ คือความรวยที่ทุกคนจะพอใจ




          

         โลกไม่เคยยุดนิ่ง มันหมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดเวลา ตามกฎแห่งความเป็นจริงของพุทธศาสนาที่ว่าทุกสิ่งมันไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง (Impermanent) และไม่มีใครสามารถที่จะหยุดความไม่เที่ยงนี้ได้ โลกมันก็หมุนรอบดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา มีกลางวันและกลางคืน มีน้ำขึ้นและมีน้ำลงทุกๆวินาที หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามการกระแสการหมุนไปของโลกตลอดเวลา และที่น่าสนใจคือ อารมณ์คนก็เหมือนกัน มันก็ขึ้นๆลงๆ เป็นปกติของมัน เหมือนกับตลาดหุ้นนั่นแหละ ที่มันมีขึ้นๆลงๆ เป็นปกติของมัน แต่ที่ไม่ปกติคือว่าคนไปพยายามคาดหวังให้มันเป็นไปตามใจที่ตัวเขาคิด พอไม่เป็นตามใจคิดก็ทุกข์ ขาดทุน ตามๆกันไป เพราะความเปลี่ยนไปเป็นปกตินี่เองจึงทำให้ สภาวะต่างๆไม่สามารถ เหมือนกันทุกประการได้ แม้กระทั่งฝาแฝดว่าเหมือนกัน ก็ยังไม่เหมือนกันเลย ความคิดของคนเราหลายๆคน ก็เลยๆไม่สามารถเหมือนกันได้ เพราะอยู่ในสภาะอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆ ไม่เท่ากัน มีความรู้ประสบการณ์มาไม่เท่ากัน จึงทำให้คนนั้นให้ความหมายของแต่ละสิ่งแตกต่างกันไป อย่างคำว่า "สวย" หรือ "ไพเราะ" ของอีกคนนึง ก็ไม่อาจจะเหมือนกับอีกคนนึง ซึ่งแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป ถึงแม้จะเหมือนกัน แต่ลายละเอียดยิบย่อย ก็ไม่สามารถเหมือนกันได้ ความหมายของความร่ำรวยก็เช่นกัน เมื่อมีความแตกต่างทางความคิด และยังไม่รู้ว่าอะไรจริง ก็ทำให้คนนั้นมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป 


          เรามองไปรอบๆ เราจะเห็นคนข้างถนน เห็นคนหลากหลายอาชีพทำงาน ไม่ว่าจะเป็นมอไซต์รับจ้าง พนักงานออฟฟิศ พ่อค้าแม่ค้าในตลาด หรือเด็กนักเรียนนักศึกษา ... เดินไปเดินมาตามหาควาฝันและความสำเร็จเต็มไปหมด และฝันและความสำเร็จที่ว่านี้ไม่ใช่อะไรอื่นมันก็คือ ความร่ำรวย หรือทีเขาว่าอิสรภาพทางการเงินนั่นเอง ผมก็มีคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่ทุกคนดิ้นรนค้นหาที่เรียกกันว่า "ความรวย" นั้นมันคืออะไร ? และความหมายของคนรวยที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร? ผมก็หาคำตอบมานาน 

       จนผมได้ฟังลุงโฉลก ซึ่งเป็นนักลุงทุนในตลาดทุนมานานกว่า 40 ปี และเป็นอาจารย์ของเซียนหุ้นทั้งหลายในตลาด ในรายการทีวีถอดรหัสเซียนซึ่งเป็นรายการเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดทุน ท่านได้พูดถึงความร่ำรวย และทำให้เปลี่ยนมุมมองผมเลย ท่านกล่าวไว้ประมาณว่า

          "ความร่ำรวยมันก็คือการมีทรัพย์สินมากกว่าความต้องการ หรือมีความต้องการน้อยกว่าทรัพย์สิน

Rich = Your Asset > Your Desire
Rich = Your Desire < Your Asset

          และถ้าคุณอยากจะรวยแล้วไปวิ่งตามความต้องการนั้นจะยากมาก แต่ถ้าเราแค่ลดความต้องการลงแค่นี้ก็รวยแล้ว ง่ายๆแค่นี้เองอยู่ที่วิธีคิดเท่านั้นเอง"
         
          ทำให้ผมเข้าใจเลยว่ามันไม่ยากเลย และทำให้ผมเห็นเลยว่า อ๋อ...ความร่ำรวยนั้นมันแบ่งเป็นความรวยแบบรูปธรรม และรร่ำรวยแบบนามธรรม นี่เอง!

          ซึ่งความรวยแบบรูปธรรมคือการ การที่เรามีเงิน มีทรัพย์สิน ที่เป็นของคุณจริงๆโดยหักหนี้สินออกไปทั้งหมดแล้ว ต้องมีเยอะๆ เยอะมากๆ ที่วัดออกมาเป็นตัวเลขแล้วว่า การที่คุณจะเป็นเป็นคนร่ำรวยคือคุณต้องรู้ว่าค่าเฉลี่ยมูลค่าทรัพย์สินของคนจน และคนชั้นกลาง มีเท่าไหร่ และถ้าคุณมีมากกว่าก็ถือว่าร่ำรวย สมมุติค่าเฉลี่ยมูลค่าทรัพย์สินของจน 1 คนมีเท่ากับ 1 แสนบาท และค่าเฉลี่ยมูลค่าทรัพย์สินของคนชั้นกลางมีเท่ากับ 1 ล้าน และถ้ามูลค่าทรัพย์สินของคุณมีมากกว่า 1 ล้าน คุณก็คือคนร่ำรวยนั่นเอง และถ้าคุณมีมากกว่า 1 ล้านบาทนี้มากๆ ก็คือมหาเศรษฐี และมากกว่านั้นแบบมากๆๆๆ ก็คืออภิมหาเศรษฐีนั่นเอง นี่ก็เป็นความรวยแบบรูปธรรมที่ถูกอิง และเปรียบเทียบ และวัดค่าจากค่าเฉลี่ยมูลค่าทรัพย์ที่วัดออกมาเป็นให้เห็นและพิสูจน์ได้ และมันก็มีวิธีที่วัดคล้ายๆกันอย่างนี้อีกมากกมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดจากรายได้ วัดจากความสามารถจากการหารายได้ บลาๆๆ..

          ส่วนความรวยแบบนามธรรมมันคือสิ่งที่อยู่ภายใน มันคือความร่ำรวยที่วัดค่าออกมาไม่ได้ มองไม่เห็น แต่สามารถรู้สึกได้ เข้าใจได้ด้วยตัวเอง และไม่ว่าคุณจะมีมุลค่าทรัพย์สินมากเท่าไหร่ หรือไม่มีเลยก็ตาม คุณก็สามารถที่จะเป็นคนร่ำรวย จนกระทั่งเป็นอภิมหาเศรษฐีได้เช่นกัน เพราะมันเป็นอารมณ์เหมือนกับคนที่กินข้าวอิ่มมากๆแล้ว ไม่ต้องการที่จะกินอีกแล้วนั่นเอง ถ้ามีเอาให้กินอีกก็อยากจะเอาไปแบ่งให้คนอื่นกินบ้างนั่นเอง (ซึ่งมันก็ต่างกับคนที่มีความรู้สึกหิวตลอดเวลา ต้องการอาหารตลอดเวลา) และนี่แหละที่คนๆนึงจะสามารถมีความรู้สึกร่ำรวยนี้ได้ตลอดเวลาราวกับมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีมุลค่าทรัพย์สินของตัวเองที่มากเท่ากับคนที่เป็นอภิมหาเศรษฐีเลยทีเดียว ซึ่งทำได้โดยการลดความปราถณาลง

          ผมชอบมากเลยในหนังสือของ T. Harve Eker หนังสือเรื่อง Secret of the Millionaire Mind ที่เขาพูดเรื่องของความสุขในด้านการเงินไว้ว่า ถ้าความสุขของคุณคือต้องการมีบ้านพักตากอากาสหลายๆหลัง การมีรถซุปเปอร์คาร์สิบคัน ไปเที่ยวรอบโลกปีละหลายครั้ง กินไข่ปลาคาร์เวีย และดื่มแชมเปญให้กับความสุขของชีวิต มันไม่ผิดหรอก! แต่ถ้ามองตามความเป็นจริงแล้วมันจะต้องใช้เวลานานมากๆเลยทีเดียวกว่าจะได้ความสุขนั้น หรือมองอีกมุมคือคุณจะใช้เวลานานมากๆที่คุณจะไม่มีความสุข หรือมีทุกข์ ที่จะออกจากหลุมดำนั้นได้เพื่อมาเจอแสงสว่าง
                   
          ฉะนั้นมันขึ้นกับกล่องของความสุขของเราว่าคุณมีกล่องความสุขใบใหญ่ขนาดไหนละ? เพราะถ้าในใจเราคือ บ้านหลังโต รกซุปเปอร์คาร์หลายคันเที่ยวรอบโลก นั่นกล่องความสุขมันใหญ่ไปรึเปล่า? ใช้เวลานานไปรึเปล่าจนกว่าจะเต็ม ?

          ถ้ากล่องความสุขความร่ำรวย ความพอใจของเราคือบ้านใหญ่ก็ดี บ้านเล็กก็ดี รถมีขับก็ดี ไม่มีขับก็ดี อาหารมีกินให้อิ่มก็พอ ไม่ต้องไข่ปลาคาร์เวียก็ได้ ไปเที่ยวบ้างก็ดี ไม่ได้เที่ยว อยู่กับครอยครัว พักผ่อนทำสมาธิบ้างก็ดี อย่างนี้กล่องความสุขของเราจะไม่มีเงื่อนเยอะแยะมากมาย และเป็นกล่องที่ไม่ใหญ่มากเกินไป ผมว่ามันก็ทำให้ความสุขและความร่ำรวยมาพร้อมกันให้กับทุกคนแล้วละครับ มาลดขนาดกล่องความสุข ลดความปราถนากันบ้างเถิดครับ เพื่อจะได้ร่ำรวยและสุขขีกันทุกคนครับ




ขอบคุณคำสอนของพระพุทธเจ้า
ขอบคุณโอวาทลุงโฉลก สัมพันธารักษ์
ขอบคุณรายการถอดรหัสเซียน
ขอบคุณหนังสือ Secret of the Millionaire Mind

ผมจะพยายามเข้าใจต่อไป
            -โต-
       24/1/2558


           

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สินทั้งชีวิต


   ถ้ามีคนถามคุณว่าคุณได้รับเงินเดือนๆละเท่าไหร่ บอกได้เลยว่าคนที่ถาม มองข้ามเรื่องของมูลค่าทรัพย์สินไป นั่นก็บอกว่าผู้ถามเขาไม่รู้จริงๆหรอกว่า ความรวยและมั่งคั่งมั่นคงจริงๆ คืออะไร เพราะเวลาที่คนรวยหรือเศรษฐีจริงๆ เขาถาม หรือลงข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ เขาจะลงข่าวว่า นาย ก. หรือ Warren E. Buffet รวยมากด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1 หมื่นล้าน นาย ข. มีหุ้นเข้าตลาดไหม่มูลค่า 1 พันล้าน หรือบริษัทนาย ค. มีกำไรสุทธิ1 พันล้านบาท และผมก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาจะพูดว่า นาย A มีเงินเดือนเพิ่มขึ้นปีนี้  1 ร้อยล้านบาทเลย ฉะนั้นเราควรจะมุ่งหน้าไปที่มูลค่าทรัพย์สิน และสร้างทรัพย์สิน 

    และถ้าใครถามว่าเงินเดือนเท่าไหร่ เพื่อที่จะวัดความรวยและมั่นคง บอกได้เลยว่าเขามองความร่ำรวยที่เพี้ยนไป เพราะเมื่อมองความร่ำรวยผิด ก็จะทำให้เขาไม่ได้ร่ำรวยจริงๆ แน่นอน เราจึงต้องเพ่งความสนใจไปที่การเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่เงินเดือนนะ! เพราะตามกฎของพาร์กินสันซึ่งก็ระบุว่า "ค่าใช้จ่ายมักจะเพิ่มขึ้นเป็ดส่วนโดยตรงกับรายได้" 

ยกจากส่วนหนึ่งในหนังสือ " Secret of the Millionaire Mind"  -โดย T. Harve Eker


ดัชนีวัดความสุข


องค์ประกอบการสร้างความสุข 5 ด้าน
http://www.thailife.com/images/blank.gif
1.
การบริหารเวลา แต่ละคน ต่างมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน แต่เรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า ไม่มีเวลาอยู่บ่อยครั้ง ทั้งนี้ เพราะบางคนใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน จนไม่ได้พักผ่อน หรือให้เวลากับตัวเอง และคนรอบข้าง ดังนั้น หากใครที่สามารถจัดการเวลาได้อย่างลงตัว ทั้งเรื่องการงาน การพักผ่อน ท่องเที่ยว สังคมและคนรอบข้าง ก็ถือว่าใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

2.
การบริหารการเงิน หากกล่าวว่า เงินเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะเงินถือเป็นตัววัดทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระดับประเทศไปจนถึงตัวบุคคล เงินสามารถนำมาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ ทั้งเครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การที่สามารถบริหารจัดการการเงินเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย และแผนในอนาคตทั้งของตนเองและครอบครัว และสามารถตอบสนอง
ความต้องการในชีวิตได้ ก็จะเป็นผู้ที่มีความสุข

3.
สุขภาพกายความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐคำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้ดีเสมอ ในทุกยุคทุกสมัย จึงเชื่อว่าคนเรามีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์
แข็ง แรง สามารถประกอบภารกิจการงาน กิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยตัวเองได้ บุคคลนั้นจะเป็นผู้ที่มีความสุข และหากเป็นผู้ที่รู้จักดูแลเอาใจใส่สุขภาพ ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็มีแนวโน้มเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้

4.
สุขภาพใจ การวัดระดับความสุขนั้น สุขภาพใจถือว่าเป็นตัวแปรที่สำคัญมาก สอดคล้องอย่างยิ่งในหลักทางศาสนา ที่เน้นการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ดังนั้น การคิดดีหรือการมีทัศนคติที่ดีต่อการดำเนินชีวิต ทั้งในเรื่องการทำงาน การเผชิญปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ความพึงพอใจในชีวิต การรู้จักปรับสภาพอารมณ์ เพื่อลดความตึงเครียด ก็ย่อมจะทำให้บุคคลนั้นดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข

5.
ความสัมพันธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะมนุษย์ต้องอาศัยร่วมกันเป็นสังคม ดังนั้น การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง ทั้งครอบครัว ญาติ เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้เกิดความไว้วางใจ และยินดีให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาในยามที่ต้องการ ทำให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา หากมีความปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภคในการดำรงชีวิต ก็ย่อมทำให้ชีวิตมีความสุข


วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

ฝันเฟื่อง

   ความฝัน คือ สิ่งที่เราต้องการในอนาคตซึ่งไม่แน่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ ไม่แน่! จึงเป็นที่เป็นลมๆ แล้งๆ เอาแน่ไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ เป็นสิ่งหลายคนฝันถึงนักว่าวันนั้นจะดีอย่างโน้น อย่างนี้ นึกทุกวันเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ความฝันนีแหละคือกรรมฐาน หรือฐานของกรรม คุณใช้อะไรเป็นฐานละ? รวย บ้านใหญ่ อำนาจ ...ฯลฯ

    นี่แหละทำให้คนนึงต้องทำกรรมไปเรื่อยๆ ตอบสนองความอยากไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้แจ่มแจ้ง หรือบางทีแค่รู้แต่ไม่นำมาตระหนัก คือเขาไม่รู้จริงว่า สุดท้ายสิ่งที่เขาทำทั้งหมดนั้น มันคือความว่างเปล่า (Emptiness) เพราะอะไร? สมมุติว่าเป็นเงินหรือทรัพสินนะ ก็เพราะสิ่งที่เขาเอาไว้ให้ลูกให้หลานนั่นมันทำให้เขา ตัวเขาเองไม่ได้ใช้ แล้วหามาเพื่ออะไร? เพื่อให้คนอื่นได้มีความสุขนั่นเหรอ? แล้วตัวคุณเองละ? ไม่ห่วงเหรอ? ตายไปเหลืออะไร? เพราะตัวคุณกะลูกคุณมันไม่ใช่มนุษย์คนเดียวกันนะ สุดท้ายมันว่างเปล่า แม้กะทั่งลูกคุณตาย!! เพราะโลกหน้าเงินไม่มีประโยชน์แล่ว! เงินมันสำคัญจำกัดเฉพาะโลกนี้เท่านั้น แต่คนก็ให้ความสำคัญกันจัง! ไม่พอเหรอ บ้าน อาหาร ยา เสื้อผ้า รถ เครื่งมือสื่อสาร....เงินส่วนที่เหลือเอาไว้ทำไร?? คนมันเอาไว้อวดกันเท่านั้นแหละ!อย่าไปหลง! คิดดูดิมีปัญญาหน่อย อย่างการตลาดจริงแล้วมีมาเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่เป็นปัจจัยพื้นฐานนะ แต่ดูเหมือนทุกวันนี้ไม่ใช่ เขาเน้นสร้างความต้องการมากกว่า เขาเห็นอยากรวย หรู นั่นแหบะเสร็จเขา ผู้บริโภคดูรวยนะตอนใช้ แต่คนรวยจริงคือเจ้าของนะ !! เขาแอบขำคนโล่ ที่อยากไม่พอ... เราเห็นอย่างงี้แล้วเราจะไม่อยากมีฝันเลย เอาพอประมาณ พอเพียงก็พอ บางทีเพราะฝันนี่แหละทำให้คนเรามีโอกาสทำบาปได้ อย่างเช่น ไม่มีเงิน ก็ไปฝันอยากมีเงิน 10 ล้าน ในปีหน้า เขาเหล่านั้นจะใช้ชีวิตผิดไปจากปกติ ซึ่งมันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งนั้น(ซึ่งมันเป็นความว่างเปล่า)นั้นมา ปล้นก็ยอม! ฆ่าคนอื่นก็ยอม! ยอมเป็นชู้กับผัวเมียคนอื่นก็ยังยอม! หลอกคนอื่นก็ยังยอม ! .... ..พอฝันเป็นจริงก็ไม่พอใจ เพราะอีกไม่นานจะมีคนมาให้เขาเปรียบเทียบ เทียบปุ๊ปก็ฝันต่ออีกไปเรื่อยๆ ทำบาปไปเรื่อยๆ จนตาย (ตายฟรี!) เพราะฝันลมๆแล้งๆ จริงๆ ..ไม่อยู่กับความเป็นจริง ไม่ยอมรับความจริง ว่าฝันนั้นแหละ คือ ฐาน ของ กรรมที่คนเราจะใช้ก่อเหตุต่างๆ ให้เป็นไปในทางหนึ่ง ดีก็ดีไป ชั่วก็ชั่วไป แต่ทั้ง 2 อย่างมันจะล่อใจคนไปเรื่อยๆ ๆ จนตาย ......

****ฝันได้ แต่ให้รู้จักพอเป็น จะเย็นใจ****

เมื่อขาดทุน!


เมื่อขาดทุน!คุณชอบมีอารมณ์แบบไหน?
1.เสียใจ
2.ดีใจ
3.เฉยๆ

ถ้าคุณเสียใจ ทำไมคุณถึงเสียใจ? ใช่หรือไม่ที่...
1.เสียใจเพราะที่ขายออกแล้ว หุ้นขึ้นต่อ (ขายหมู)
2.ราคาหุ้นลงมาที่จุดที่ตัวเองไม่พอใจ และไม่มีการเตรียมตัวที่จะขายอยู่แล้ว
3.เสียใจเพราะเสียเงินมาก ทำให้เงินหรือมุลค่าในพอร์ตลดเยอะมาก
4.เสียใจเพราะไม่ชอบขาดทุนอยู่แล้ว
5.เสียใจเพราะไม่ได้เป็นผู้กำหนดความเสี่ยงเอง
6.เสียใจเพราะไปหลงเชื่อข่าวลวง
7.ได้หุ้นเด็ดมา แต่ไม่เด็ดจริง!
8.เสียใจที่กลัวติดดอยเลยยอมขายขาดทุน
9.เสียใจที่มันจะไม่เป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะไปเชื่ออะไรก็ไม่รู้
10.ไม่เป็นไปตามที่คำนวน หรือคิดวิเคราะห์ไว้ จึงยอมขายขาดทุน
11.เล่นหุ้นตัวเดียว 100% เมื่อเสียจึงเสียหายหนัก เมื่อหุ้นลงหนัก แล้วไปตัดขาดทุนจุดต่ำสุด
12.อื่นๆ

ถ้าคุณดีใจ ทำไมคุณถึงดีใจ? ใช่หรือไม่ที่...
1.ดีใจเพราะดีใจที่ขายออกแล้ว หุ้นลงต่อ
2.ดีใจที่ราคาหุ้นลงมาที่จุดที่ตัวเองพอใจจะขายอยู่แล้ว
3.ดีใจที่เสียเงินน้อย เพราะกระจายความเสี่ยงพอร์ตไว้หมดแล้ว
4.ชอบขาดทุนอยู่แล้ว ป๋า เอาเงินมาแจก!!
5.ดีใจที่เป็นผู้กำหนดความเสี่ยงเอง
6.ดีใจที่จะได้ไม่อยู่กับหุ้นบริษัทที่แย่ๆ ห่วยๆ
7.ไม่ได้รักหุ้นตัวนี้เลย ขายทิ้งขาดทุน เลยดีใจ
8.ดีใจที่จะไม่ติดดอย
9.ดีใจที่มันจะได้เป็นประสบการณ์ที่ดีในการเรียนรู้ที่จะไดกำไรต่อไป
10.ดีใจที่หุ้นตัวนี้มีข่าวแย่ๆ ออกมา แล้วออกหนีทัน ถึงแม้จะขาดทุนน้อย
11.อื่นๆ

ถ้าคุณเฉยๆ ทำไมคุณถึงเฉยๆ? ใช่หรือไม่ที่...
1.เฉยๆเพราะได้กระจายความเสี่ยงไว้แล้ว
2.เฉยๆเพราะไม่ผูกใจติดกับเงินแล้ว
3.เฉยๆเพราะมีระบบการคิดที่ดีแล้ว ทุกอย่างแค่เป็นไปตามระบบที่คิดไว้ก็แค่นั้นเอง
4.เฉยๆเพราะการขาดทุนไม่มีผลต่อการลงทุนเลย หรือถ้ามี ก็มีไม่มาก
5.เฉยๆเพราะมีความเชื่อผูกติดกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เรื่องการขาดทุน ทำให้การขาดทุนไม่ทำให้เกิดความกังวล
6.อี่นๆ

การขาดทุนนั้นเป็นผล ซึ่งมักส่งผลร้ายต่อการลงทุน และจิตใจของนักลงทุน และมักทำให้นักลงทุนเกิดความไม่พอใจกับการขาดทุน ซึ่งไม่พอใจก็คือเสียใจกับการลงทุน ส่วนเรื่องดีใจและไม่เสียใจ หรือเฉยๆ นั้น เป็นเรื่องของนักลงทุนที่มีแนวโน้มมากว่าจะประสบความสำเร็จ
แต่ปัญหาของการลงทุนคือ การขาดทุน ซึ่งเป็นตัวฉุดดึงไม่ให้นักลงทุนนั้นมีฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น หรือจะประสบความสำเร็จ แล้วทำอย่างไร จึงจะไม่ขาดทุนนั้นต้องไปแก้ที่เหตุ คือความไม่พอใจต่อการขาดทุน วิธีแก้คือ นักลงทุนจึงต้องรู้เหตุว่าอะไรทำให้เกิดการขาดทุน ....ซึ่งเหตุที่ไม่พอใจกับการขาดทุนนั้นคือนักลงทุนไม่รู้ว่าการขาดทุนนั้นเป็นธรรชาติ และเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน และเพราะไม่รู้ว่าการขาดทุนนั้นเป็นธรรชาติ นักลงทุนจึงลงทุนด้วยความเสี่ยงมากๆ จึงส่งผลให้เขาต้องแบกรับความเสี่ยงมากๆ และทำให้เขาขาดทุน และไม่พอใจในการขาดทุนในที่สุด และทำให้เขาไม่พอใจ และทำให้เสียใจกับการขาดทุนนั้น


   ซึ่งถ้านักลงทุนมีความเห็น(ที่ถูกต้องว่า)ว่าการขาดทุนมีอยู่เป็นธรรมดาและเกิดขึ้นเสมอกับการลงทุนและ มันบอกจะเราว่ามันจะเป็นเรื่องดีในอนาคตที่นักลงทุนจะสามารถเรียนรู้และทำกำไรได้ในระยะยาว (คือถ้าเมื่อขาดทุนแล้วการขาดทุนไม่หนัก) แต่นักลงทุนที่ขาดทุนหนักนั้นไม่เข้าใจ จึงไปแบกรับความเสี่ยงอย่างหนัก และไปรับผลขาดทุนอย่างหนัก จึงเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจกับการขาดทุน เพราะเขาไม่เข้าใจธรรมชาติว่าในตลาดนั้นมันจะขาดทุน และกำไร และไม่กำไร ไม่ขาดทุน( คือยังถืออยู่) มันก็จะวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้นนักลงทุนควรขาดทุนให้น้อยที่สุด เพื่อโอกาสในครั้งต่อไป และในการขาดทุนนั้นควรยินดี เท่ากับ การได้กำไรด้วย เพราะการลงทุนนั้นวางอยู่กับอนาคต ซึ่งมีความไม่นอน ไม่เที่ยงเสมอ จึงไม่ควรเสี่ยง 100%

   เมื่อช่วงโอกาสแห่งการทำกำไรเกิดขึ้น นักลงทุนที่มีอารมณ์ที่ติดอยู่กับความไม่พอใจ ทำให้เกิดความกลัว ไม่กล้าที่จะลงทุนไปกับโอกาสนั้น จึงเกิดความผิดพลาด ซึ่งอารมณ์ในอดีตเป็นเหตุ ซึ่งแตกต่างมากกับผู้ที่ไม่มีอารมณ์ใดๆ เพราะเขามีความเห็นที่ถูกต้อง เขาจึงได้รับโอกาสนั้นเสมอ และประสบความสำเร็จเสมอ ดังนั้นวิธีที่จะกำจัดการเสียใจกับการทุนคือ ต้องขาดทุนน้อยๆ และเข้าใจธรรมชาติว่าเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน หรือ สิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นตามคาด ก็ยอมรับว่าการขาดทุนมันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ และการยอมรับว่าการขาดทุนก็เป้นเรื่องที่น่ายินเสมือนกับการได้กำไร เพราะมันเป็นธรรมชาติ